ณ ตระกูลหลิงหู
ต่างจากท่าทีไร้กังวลปลอดโปร่งขณะติดต่อกับต้วนหลิงเทียนนัก เพราะหลังจากตัดการติดต่อกับต้วนหลิงเทียนแล้ว หลิงหูเหรินเจี๋ยก็ชักสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังนัก
มีคนข่มขู่ต้วนหลิงเทียนว่าจะฆ่ามัน หากต้วนหลิงเทียนติด 10 อันดับแรกในการแข่งขันมังกรซ่อน!
ถึงแม้ตัวมันเองก็รู้สึกว่ามีโอกาสสูงที่จะเป็นการขู่ลอยๆ
อย่างไรก็ตาม มันไม่อาจไม่ระวัง
“ไม่คิดเลยว่าข้าจะต้องมากังวลว่าจะถูกใครฆ่าเอาคาบ้านเช่นนี้…”
หลิงหูเหรินเจี๋ยได้แต่กล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ จากนั้นก็นำป้ายหยกที่เต็มไปด้วยแสงพลังลี้ลับเรืองรองออกมาป้ายหนึ่ง ก่อนจะบดขยี้มันจนแหลก “หวังว่าเรื่องนี้จะไม่เป็นการถ่วงรั้งหรือทำให้นางมีปัญหา…”
ทันใดนั้นเอง ในหัวหลิงหูเหรินเจี๋ยก็ปรากฏร่างบางนางหนึ่งขึ้นมา เป็นสตรีที่เลอโฉมนัก
อย่างไรก็ตาม ภาพสตรีเลอโฉมในใจเพียงดำรงอยู่ได้ไม่นาน ก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นสาวน้อย สุดท้ายก็กลับกลายเป็นเด็กหญิงตัวน้อยนางหนึ่ง “ไม่คิดเลยว่าเจ้าตัวเล็กที่วิ่งตามข้าต้อยๆวันนั้น…วันนี้กลับเติบโตมาถึงขั้นนั้นแล้ว”
“ไม่ทราบตอนนางไปดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพนางพบเจอเรื่องอะไรมากันแน่?”
“ไฉนกลับมาคราวนี้ คนคล้ายจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่เหลือความร่าเริงซุกซนเหมือนตอนนั้นอยู่เลย…”
หลังถอนหายใจออกมาอย่างสะทกสะท้อนแล้ว หลิงหูเหรินเจี๋ยก็ได้แต่กล่าวพึมพำด้วยสีหน้าวิตกกังวล “หลายปีที่ผ่านมานางคงเจอเรื่องร้ายๆมาไม่น้อย…น่าเสียดายที่นางดื้อรั้นเกินกว่าจะเล่าออกมาให้ใครฟัง”
…
ต้วนหลิงเทียนไม่ทราบสถานการณ์ด้านหลิงหูเหรินเจี๋ยเป็นธรรมชาติ
หลังจากที่เขาพาแม่นาง 7 ไปถึงบ้านพักของเชวียไห่ชวนแล้ว เขาก็ไม่รอให้เชวียไห่ชวนพูดอะไร รีบชิ่งหนีกลับบ้านพักชั่วคราวในเทือกเขาเหยียนหวงทันที
ด้านอาวุโสทั้ง 3 ของตระกูลหลิงหู ในเมื่อเขากล่าวคำลาแล้ว ก็ไม่คิดจะไปพบหน้าเพื่อบอกลาอีกเป็นครั้งที่ 2
อย่างไรก็ตาม พอต้วนหลิงเทียนกลับมาถึงที่พัก ก็ต้องแปลกใจเพราะโหวชิ่งหนิงได้มายืนรอเขาอยู่หน้าบ้าน “ไฉนเจ้าไม่กลับไปพักเล่า มายืนรอข้าที่นี่ทำอะไร?”
“ต้วนหลิงเทียน”
ในปัจจุบันโหวชิ่งหนิงคล้ายจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่มีท่าทีเรื่อยเปื่อยเหมือนก่อนหน้า กลับชักหน้าขึงขังแววตาจริงจัง “เป็นเจ้าออกความคิดให้นางรึ?”
“หือ?”
อยู่ดีๆโดนถามมาแบบนี้ต้วนหลิงเทียนก็งงเป็นธรรมดา “เจ้าพูดถึงเรื่องอะไรอยู่? ออกความคิดให้นางอะไร?”
“ก็ที่เจ้าบอกให้นางส่งคนไปหาพ่อข้า และให้พ่อข้าไปติดต่อสู่ขอนางมาตบแต่งที่ตระกูลมู่หรงอย่างไรเล่า?”
โหวชิ่งหนิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
โชคดีที่บิดาของมันไม่ได้ตัดสินใจเอง และเลือกจะติดต่อมาถามมันก่อน หาไม่แล้วมันก็คงโง่งมในความมืด และหากเรื่องนี้ไม่อาจจัดการให้ดี ไม่แน่อาจจะส่งผลร้ายต่อนิกายหมื่นจันทรา
“ไม่ใช่เจ้าเองก็สนใจนางอยู่รึไง?”
ต้วนหลิงเทียนนึกได้ทันทีว่าโหวชิ่งหนิงพูดถึงเรื่องอะไร “ทำไม หรือเจ้าไม่อยากแต่งกับนาง?”
พอได้ยินคำถามดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน สีหน้าขึงขังเอาเรื่องของโหวชิ่งหนิงก็อ่อนยวบลงโดยพลัน แต่แววตายังดุร้ายอยู่ “ข้าถามคุณหนู 3 แล้ว…เป็นเจ้าตัวดีที่ยุแยงนางให้ทำเช่นนี้!”
“ทั้งหมดก็เพราะเรื่องที่ข้าหยอกเจ้าวันก่อน ทำให้เจ้าเข้าใจผิดนั่นล่ะ ข้าถึงได้รู้ว่าเจ้าคิดกับนางอย่างไร…”
ได้ยินคำถามของโหวชิ่งหนิง ต้วนหลิงเทียนก็หัวเราะออกมา ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงยียวน “หรือเจ้าจะเถียงว่าวันนั้นไม่ใช่เพราะเจ้าหึง…เฮ่อ หากไม่ใช่เพราะเจ้าออกตัวขัดขวางข้าวันนั้น ข้าคงไม่รู้หรอกว่าที่แท้เจ้าเองก็มีใจให้นางไม่น้อย”
“จะว่าไป เจ้าต้องขอบคุณข้าไม่ใช่รึไง มาทำเป็นเข้มกับข้าเพื่อ?”
“เจ้าทราบหรือไม่ หากเป็นที่บ้านเกิดข้า ตอนนี้เจ้าต้องจ่ายค่าพ่อสื่อแม่ชักให้ข้าแล้วนะ!”
ต้วนหลิงเทียนหัวเราะ
บ้านเกิดที่ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถึง เป็นธรรมดาว่ามันคือบ้านเกิดในระนาบเหยียนหวงซึ่งเป็นระนาบโลกียะขนาดใหญ่ ไม่ใช่ระนาบโลกียะขนาดเล็กอย่างระนาบเซียน
ได้ยินต้วนหลิงเทียนกล่าวแซวออกมาเป็นชุด โหวชิ่งหนิงก็โพล่งออกมาด้วยน้ำเสียงโมโหกลบเกลื่อนความอาย “เลิกพูดเหลวไหลได้แล้ว ที่ข้ามารอเจ้าอยู่ไม่ใช่เพราะจะพูดถึงเรื่องนี้”
“ต้วนหลิงเทียน ข้าได้ยินหลายคนพูดกันมา ว่าความแข็งแกร่งที่เจ้ากับหัวเทียนตู้เผยออกในการประลองวันนี้…มีโอกาสสูงที่ขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพชั้นแนวหน้าของเขตคฤหาสน์ตงหลิงจะมาทาบทามเจ้า”
“หากเป็นแบบนั้นจริง เจ้าจะเอาอย่างไรเล่า?”
“จะรั้งอยู่ในนิกายมังกรสวรรค์ก่อน หรือจะไปขุมกำลังเหล่านั้น?”
โหวชิ่งหนิงเอ่ยถาม
และนี่เป็นเหตุผลที่มันมายืนรอต้วนหลิงเทียนหน้าบ้าน
“ไว้ถึงตอนนั้นค่อยว่ากัน”
ต้วนหลิงเทียนอึ้งไปครู่หนึ่ง ค่อยยิ้มตอบอย่างไม่ใส่ใจ
เรื่องที่โหวชิ่งหนิงกล่าวถาม อันที่จริงตอนเขาไปส่งแม่นาง 7 ที่บ้านพักเชวียไห่ชวน ขณะที่เขาขิ่งหนีออกมา เชวียไห่ชวนก็ส่งข้อความมาถามเขาแล้ว อีกทั้งยังแนะนำเขาว่า อย่าพึ่งตัดสินใจเข้าร่วมกับขุมกำลังเหล่านั้นจะดีกว่า
ถึงแม้การไปยังขุมกำลังที่อยู่เหนือกว่าจะมีสภาพแวดล้อมในการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะแข่งขันกับเขาอย่างเป็นธรรม
โหวชิ่งหนิงก็ได้ยินมาจากเขาแล้วว่าเขาไม่คิดจะรับใครเป็นอาจารย์ เช่นนั้นการไปเข้าร่วมขุมกำลังเหล่านั้นก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องดีสำหรับเขา
กล่าวไปสถานการณ์ดังกล่าวยังส่งผลร้ายกับต้วนหลิงเทียนมากกว่า
สิ่งนี้ก็ตรงกับที่ต้วนหลิงเทียนเคยคิดไว้เช่นกัน
ที่เขาพยายามเก็บรายละเอียดให้ต่ำไว้ ไม่ใช่เพราะกริ่งเกรงจะเข้าทำนอง ไม้เด่นเกินไพรลมพัดหักโค่นหรือไร?
“ดูเจ้าทำเข้า”
โหวชิ่งหนิงย่นคิ้วเล็กน้อย “ต้วนหลิงเทียน ข้าคิดว่าเรื่องนี้เจ้าอย่าทำเป็นเล่นเลย…ในนิกายมังกรสวรรค์แห่งนี้เจ้ายังมีผู้อาวุโสจากตระกูลหลิงหู รวมถึงอาวุโสเชวียไห่ชวนให้พึ่งพา”
“แต่ถ้าเจ้าไปยังขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพเหล่านั้น ด้วยความโดดเด่นของเจ้า ถึงแม้เจ้าจะไม่ไปหาเรื่องผู้อื่น ข้าเกรงว่าผู้อื่นก็คงมาหาเรื่องเจ้าอยู่ดี ถึงตอนนั้นเจ้าที่ตัวคนเดียวไม่พ้นต้องตกที่นั่งลำบากแน่”
“ข้าว่าเจ้าทะลวงให้ถึงขอบเขตจอมราชันเทพก่อน แล้วค่อยไปจะดีกว่า”
โหวชิ่งหนิงเองก็ให้คำแนะนำทำนองเดียวกับเชวียไห่ชวน
“ข้าจะเก็บไปลองคิดดู”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า แต่ไม่ได้ให้คำตอบที่แน่ชัดกับโหวชิ่งหนิง จากนั้นเขาก็ลาโหวชิ่งหนิงและกลับเข้าบ้านไปท่ามกลางสายตากังวลของอีกฝ่าย
‘หากคนจากขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพชั้นแนวหน้านั่นมา…ข้าจะไปดีไหม?’
หลังกลับเข้าห้องมาแล้ว ต้วนหลิงเทียนที่ไปนั่งเอนหลังบนเตียงก็เริ่มครุ่นคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง
‘ที่โหวชิ่งหนิงกับพี่ไห่ชวนแนะนำมา ก็ไม่ผิด…แต่ทว่านอกจากพรสวรรค์กับความเข้าใจในแง่การบ่มเพาะฝึกฝนแล้ว ข้ายังมีความสามารถในการหลอมยาอีกด้วย’
‘หากข้าเปิดเผยเรื่องที่สามารถหลอมโอสถเทพระดับราชาให้ออกมาเป็นขั้นสุดยอดได้ตามอำเภอใจ…ขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพชั้นแนวหน้าทั้งหลาย ต้องยินดีต้อนรับข้าแน่นอน’
‘สุดท้ายแล้วต่อให้เป็นปรมาจารย์หลอมโอสถเทพระดับจักรพรรดิทั่วๆไป ก็ไม่ใช่จะหลอมโอสถเทพระดับราชาให้ออกมาเป็นขั้นสุดยอดได้ตามใจชอบ’
ต้วนหลิงเทียนเริ่มชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสีย
เหตุไฉนเขาถึงรีบร้อนขึ้นมายังระนาบเทพนัก?
ไม่ใช่เพราะแสวงหาพลัง เตรียมตัวไปดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ เพื่อช่วยเค่อเอ๋อรวมถึงทำให้ตระกูลที่อยู่เบื้องหลังเค่อเอ๋อยอมรับหรือไร?
‘ลองคิดดูอีกทีแล้วกัน…สุดท้ายไม่ว่าจะอยู่ในนิกายมังกรสวรรค์ไปก่อน หรือไปเข้าร่วมขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพชั้นแนวหน้าเลย มันก็มีข้อดีข้อเสียต่างกัน’
‘หลังชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียให้แน่ชัดแล้วค่อยว่ากัน’
‘ตอนนี้มารอดูของรางวัลที่จะได้จากตำแหน่งชนะเลิศการแข่งขันมังกรซ่อนก่อนดีกว่า’
คิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้รีบร้อนหรือกังวลอะไร เลือกจะหลับตาทำสมาธิสงบจิตสงบใจ ก่อนจะเริ่มบ่มเพาะสั่งสมพลัง
ในคืนเดียวกัน ไม่เพียงแต่ผู้อาวุโสของตระกูลหลิงหูเท่านั้น แต่ผู้อาวุโสของขุมกำลังระดับจอมราชันเทพอื่นๆรวมถึงที่ไม่ใช่ หลังจากร่ำลาลูกหลานเหล่าศิษย์ที่กลายเป็นศิษย์ใหม่ของนิกายมังกรสวรรค์ดีแล้ว ทั้งหมดก็ออกจากนิกายมังกรสวรรค์อย่างวางใจ
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น อาวุโสฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์ที่นำโดยตงฟางเหยียนเหนียนกับผู้อาวุโสมังกรขาวคนเดิม ก็ปรากฏตัวขึ้นเหนือน่านฟ้าที่พักชั่วคราว จากนั้นตงฟางเหยียนเหนียนก็เริ่มพาเหล่าศิษย์ฝ่ายในคนใหม่ของนิกายมังกรสวรรค์ไปยังสถานที่พักฝึกฝน
ส่วนศิษย์ฝ่ายนอกนั้น อาวุโสมังกรขาวที่มากับตงฟางเหยียนเหนียนก็เป็นผู้พาไป
“ในนิกายมังกรสวรรค์เรา ปกติแล้วหากผู้ใดคิดจะเป็นศิษย์ฝ่ายใน การทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพเสมือนย่ำอยู่บนธรณีประตูเท่านั้น…สุดท้าย ก็มิใช่ทุกคนที่บรรลุถึงขอบเขตราชาเทพแล้วจะสามารถเป็นศิษย์ฝ่ายในได้แน่ๆ ยังต้องดูความเข้าใจในกฏอีกด้วย”
ระหว่างทาง ตงฟางเหยียนเหนียนก็กล่าวออกมาเสียงดังฟังชัด
“พวกเจ้าหลายคนอาจมาจากขุมกำลังระดับจอมราชันเทพ…เช่นนั้นก็คงจะพอรู้มาบ้างแล้วว่าในนิกายมังกรสวรรค์เรา ศิษย์หลักที่พวกเจ้าเข้าใจจะถูกเรียกหาว่า ศิษย์มังกรฟ้า”
“ตราบใดที่ศิษย์ฝ่ายในคนไหนมั่นใจในพลังฝีมือของตัวเอง และยังมีอายุไม่ถึง 10,000 ปีก็สามารถเข้ารับการทดสอบเป็นศิษย์มังกรฟ้าได้ทุกเมื่อ หากผ่านการทดสอบก็จะเลื่อนระดับเป็นศิษย์มังกรฟ้าทันที”
“ศิษย์มังกรฟ้าของนิกายมังกรสวรรค์เรา จะได้รับการดูแลอยย่างดีเรียกว่าสวัสดิการเหนือกว่าศิษย์ฝ่ายในมาก…ไม่ต้องกล่าวถึงใดอื่น เอาแค่เรื่องโอกาสในการเข้าใช้ห้องลับแห่งกฏ สำหรับศิษย์ฝายในนั้นเว้นเสียแต่จะได้รับรางวัล เช่นนั้นเรื่องคิดจะเข้าใช้มันก็จำต้องอาศัยการจ่ายคะแนนอุทิศเพื่อซื้อเวลา…กลับกันศิษย์มังกรฟ้านั้น จะได้รับโอกาสเข้าใช้ห้องลับแห่งกฏทุกปี โดยไม่มีค่าใช้จ่ายอะไร”
พอตงฟางเหยียนเหนียนกล่าวจบคำ สองตาต้วนหลิงเทียนรวมถึงคนอื่นๆก็ลุกวาวขึ้นมาทันที
เรื่องศิษย์มังกรฟ้านั้น พวกมันส่วนใหญ่เคยได้ยินมาก่อน
อย่างไรก็ตาม สวัสดิการที่ศิษย์มังกรฟ้าจะได้รับคืออะไร พวกมันก็พึ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรก
“ในนิกายมังกรสวรรค์เรา จำนวนศิษย์มังกรฟ้านั้นมีไม่มากนัก ในปัจจุบันก็มีกันอยู่แค่ 70 กว่าคนเท่านั้น และขีดจำกัดที่นิกายเรากำหนดไว้ก็คือ 100 คน…สมัยที่นิกายมังกรสวรรค์ของพวกเรายังรุ่งเรือง ศิษย์มังกรฟ้าล้วนมี 100 คนเต็มจำนวนตลอด ในตอนนั้นหากผู้ใดคิดจะยกระดับเป็นศิษย์มังกรฟ้า ไม่เพียงแต่ต้องผ่านการทดสอบเท่านั้น ยังต้องท้าประลองและเอาชนะศิษย์มังกรฟ้าคนใดคนหนึ่งเพื่อแทนที่อีกฝ่าย กลายเป็นศิษย์มังกรฟ้าคนใหม่!”
“ไม่เหมือนกับตอนนี้ หากคิดจะเป็นศิษย์มังกรฟ้า…พวกเจ้าไม่ต้องท้าประลองเอาชนะผู้ใด ขอแค่สามารถผ่านการทดสอบได้ก็พอ”
หลังได้ยินเรื่องราวจากปากตงฟางเหยียนเหนียน หลายๆคนก็เริ่มกระตือรือร้นอยากจะยกระดับตัวเองเป็นศิษย์มังกรฟ้านัก
ตงฟางเหยียนเหนียนย่อมสังเกตเห็นความคึกคักกระเหี้ยนกระหือรือดังกล่าวได้ชัดเจน จึงยิ้มกล่าวออกมาว่า “ในบรรดาพวกเจ้า มีหลายคนที่มีแววจะได้เป็นศิษย์มังกรฟ้า…อย่างเช่นต้วนหลิงเทียนกับหัวเทียนตู้ ตราบใดที่ไปเข้าร่วมการทดสอบ ขอแค่ไม่เกิดเรื่องผิดพลาดอันใด โอกาสที่ทั้งคู่จะยกระดับเป็นศิษย์มังกรฟ้าได้ ก็มีเต็ม 10 ส่วน”
“สำหรับ จี้อู่ชาง ตู้ปั้วจวิน แม่นาง 7 และคนอื่นๆอีกไม่กี่คน พวกเจ้าก็มีโอกาสเช่นกัน”
“การแข่งขันมังกรซ่อนครั้งนี้ พวกเจ้านับว่าทำผลงานได้พร่างพราวที่สุดเท่าที่การแข่งขันมังกรซ่อนเคยมีมา ยังมากพอจะให้บันทึกลงไปในหน้าประวัติศาสตร์ของนิกายมังกรสวรรค์เราเลยด้วยซ้ำ…ข้ายกตัวอย่างง่ายๆ ในอดีตผู้ชนะเลิศการแข่งขันมังกรซ่อน พลังฝีมือก็ทัดเทียมกับพวกเจ้าหลายๆคน”
ตงฟางเหยียนเหนียนกล่าวถึงจุดนี้ ก็หันไปมอง ตู้ปั้วจวิน จี้อู่ชาง แม่นาง 7 และคนอื่นๆอีก 2-3 เป็นพิเศษ หลายๆคนก็หันไปมองคนเหล่านี้
แต่สุดท้ายสายตาของหลายๆก็ไปหยุดลงบนร่างต้วนหลิงเทียนกับหัวเทียนตู้
เพราะทั้งคู่ เป็นตัวประหลาดในบรรดาอัจฉริยะทั้งหลายอย่างเห็นได้ชัด
“ถึงแล้ว”
ไม่นานนักเสียงของตงฟางเหยียนเหนียนก็ดังขึ้นอีกครั้ง ด้านต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆก็พบว่าบัดนี้ ได้เหินร่างมาถึงน่านฟ้าของหุบเขาแห่งหนึ่ง เป็นหุบเขาลึกที่มองไกลๆแลดูคับแคบแต่ที่จริงแล้วพื้นทีที่ทอดตัวลึกลงไปในหุบเขามันไม่แคบเลย
กลางหุบเขานั้นเว้นไว้เป็นที่ว่าง คล้ายทางเดิน ส่วนทั้ง 2 ข้างริมหุบเขาลึกแห่งนี้ มีบ้านลานปลูกสร้างไว้เรียงรายเป็นทิวแถว หน้าบ้านลานแต่ละหลังปรากฏแท่นศิลาขนาดใหญ่ บ้างก็ว่างเปล่าบ้างก็มีชื่อสลักไว้
“หากเป็นบ้านลานที่แท่นศิลาหน้าบ้านไร้ชื่อผู้ใดสลักเอาไว้ พวกเจ้าสามารถเลือกเข้าไปอยู่ได้ตามใจชอบ และก่อนที่พวกเจ้าจะเข้าพัก อย่าได้ลืมสลักชื่อเอาไว้บนแท่นศิลาหน้าบ้านด้วย”
“ด้วยวิธีนี้ พวกเจ้าจักได้หลีกเลี่ยงปัญหาการถูกรบกวนขณะฝึกฝนบ่มเพาะโดยไม่จำเป็น”
ได้ยินคำพูดของตงฟางเหยียนเหนียน ทุกคนก็พยักหน้าเป็นอันเข้าใจ
และลึกเข้าไปในหุบเขา บริเวณตรงกลางก็ปรากฏตำหนักหลังใหญ่แห่งหนึ่งปลูกสร้างไว้ มองไปยังเห็นผู้คนเดินผ่านเข้าออกหนาตา แลดูคึกคักพอสมควร
“นั่นคือตำหนักกิจการฝ่ายใน…คำว่ากิจการฝ่ายในๆที่นี้หมายถึงภารกิจของศิษย์ฝ่ายในด้วย มิได้หมายความตามตัวอักษรอย่างเดียว”
เมื่อเห็นสายตาของต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆไปหยุดลงบนตำหนักหลังใหญ่ ตงฟางเหยียนเหนียนก็กล่าวอธิบายออกมาอย่างประจวบเหมาะ “หากพวกเจ้าอยากได้คะแนนอุทิศของนิกาย ก็สามารถเข้าไปเลือกรับภารกิจในนั้นได้”