ต้วนหลิงเทียนย่อมรู้สึกขอบคุณเชวียไห่ชวนี้เป็นธรรมดา เพราะอีกฝ่ายยังเป็นห่วงและคิดปกป้องเขา
อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนยังคงปฏิเสธความห่วงดีของเชวียไห่ชวน “พี่ไห่ชวน ข้าไม่คิดเข้าระนาบศึกจักรพรรดิกับพวกท่าน”
พอต้วนหลิงเทียนกล่าวมาแบบนี้ เชวียไห่ชวนก็กล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “เสี่ยวเทียน ข้าเองก็รู้ว่าพลังวิญญาณฟ้าดินในระนาบศึกจักรพรรดิมันเบาบางจนแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้บ่มเพาะพลัง อย่างไรก็ตามสถานการณ์ของเจ้าในนิกายมังกรสวรรค์ตอนนี้ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก หากข้าเข้าสู่ระนาบศึกจักรพรรดิแล้ว กับคนอื่นข้าไม่รู้ แต่กวงเทียนเจิ้งอาวุโสฝ่ายในผู้นั้น มีแนวโน้มสูงที่จะลงมือฆ่าเจ้าทุกวิถีทาง”
“การฝึกฝนบ่มเพาะไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ไม่คุ้มหรอกที่เจ้าจะเอาชีวิตเข้าแลกเพราะไม่อยากหยุดการบ่มเพาะไว้ชั่วคราว”
“เจ้าลองคิดดูเจ้าจะเสียใจแค่ไหักนหากเกิดเรื่องเพราะสาเหตุนี้”
“ถึงตอนนี้เจ้าจะยังไม่รู้สึกอะไรมากมาย…แต่เจ้าคิดจะรอให้กวงเทียนเจิ้งมันมาปรากฏตัวต่อหน้าเจ้าและฆ่าเจ้าจริง ๆ ก่อนที่เจ้าจะรู้สึกเสียใจเช่นั้นน หรือ ?”
“ใต้หล้าไร้โอสถรักษาอาการเสียใจ”
“เมื่อตัดสินใจไปแล้ว ก็ไม่ต่างใดกับน้าที่สาดออกไป้ยากที่จะนำกลับคืนมา”
ขณะกล่าว น้ำเสียงของเชวียไห่ชวนก็ฟังดูขมขื่นนัก
“พี่ไห่ชวน เรื่องนี้ท่านไม่ต้องห่วงไป”
ต้วนหลิงเทียนรู้ว่าเชวียไห่ชวนกำลังเข้าใจเขาผิด “ข้าไม่ได้คิดล้อเล่นกับชีวิตหรอก”
“เหตุผลที่ข้าไม่คิดเข้าสู่ระนาบศึกจักรพรรดิพร้อมพวกท่าน เป็นเพราะข้าเตรียมทางหนีที่ไล่ไว้แล้ว”
“พี่ไห่ชวนคงทราบกระมังว่าข้ามีสหายชื่อติงเหยียน และมันก็เป็นหลานชายของอาวุโสสักการะสือคง ก่อนหน้าที่ข้าจะมาหาพี่ไห่ชวน มันก็บอกข้าไว้แล้วว่าหากพี่ไห่ชวนไม่สะดวก ก็ให้ข้าไปฝึกฝนบ่มเพาะที่บ้านของอาวุโสสือคงได้”
“วันั้นนมันก็บอกข้าแล้ว ว่าอาวุโสสือคงตอบรับคำขอของมัน”
“เช่นั้นน ข้าสามารถไปพักอาศัยที่บ้านของอาวุโสสือคงได้ทุกเมื่อ”
“เพียงแค่ข้าอยู่กับพี่ไห่ชวันที่นี่มานาน และขี้เกียจจะย้ายที่อยู่…เช่นั้นนในเมือพี่ไห่ชวนจะเข้าระนาบศึกจักรพรรดิ ข้าจึงคิดจะไปพักที่บ้านอาวุโสสือคง”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
และมันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ
หลังจากติงเหยียนกลับมาถึงนิกายมังกรสวรรค์เมื่อ 2 ปีก่อน มันก็แจ้นไปหาลุงของมันอย่างอาวุโสสือคง ซึ่งเป็นอาวุโสสักการะของนิกายมังกรสวรรค์ทันที่เพียงแค่ตอนั้นนอาวุโสสือคงปิดด่านอยู่
เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาต้วนหลิงเทียนก็ได้รับข้อความจำกติงเหยียน จึงรู้ว่าอาวุโสสือคงออกจากการกักตัวฝึกฝน ทั้งตอบรับคำขอเรียบร้อย เขาจึงสามารถไปพักที่นั่นได้ทุกเมื่อ
เพียงแค่ต้วนหลิงเทียนเห็นว่า เขาก็ยังปลอดภัยดีในที่พักของเชวียไห่ชวน เช่นั้นนเขาจึงไม่คิดจะย้ายที่อีกเรื่องก็คือเขาไม่อยากติดค้างอาวุโสสือคง
“เข้าใจแล้ว”
หลังได้ยินคำอธิบายของต้วนหลิงเทียน เชวียไห่ชวนก็เข้าใจได้ไม่ยาก “หากเจ้าไปพักกับอาวุโสสือคงข้าก็วางใจ”
“พลังฝีมือที่แท้จริงของอาวุโสสือคงนั้น ค่อนข้างเป็นเรื่องลึกลับในนิกาย…อย่างไรก็ตาม ข้าได้ยินมาว่าอาวุโสสือคงถูกท่านประมุขชักชวนให้มาเป็นอาวุโสสักการะด้วยตัวเอง กระทั่งยังมอบตำแหน่งผู้อาวุโสมังกรดาให้อีก สิ่งนี้ก็มากพอจะบอกให้รู้ว่าพลังฝีมือของอาวุโสสือหาได้ง่ายดายไม่ และข้าเชื่อว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าอาวุโสมังกรดาคนไหนแน่นอน”
“ไปอยู่ที่นั่นเจ้าต้องปลอดภัยกว่าอยู่กับข้าที่นี่แน่นอน”
เชวียไห่ชวนกล่าวถึงจุดนี้ก็หยุดลง ค่อยเสริมว่า “สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือในนิกายเราผู้อาวุโสสือคงนั้นค่อนข้างเป็นกลางอย่างยิ่ง…ในนิกายแห่งนี้ คนอื่นยินดีล่วงเกินอาวุโสมังกรดาคนอื่น แต่ไม่มีใครคิดล่วงเกินอาวุโสสือคงแน่”
พอได้ยินว่าต้วนหลิงเทียนจะไปพักที่บ้านอาวุโสสือคงและอยู่ภายใต้ความคุ้มครองของอีกฝ่าย เชวียไห่ชวนก็โล่งใจโดยสมบูรณ์
…
ครึ่งเดือนต่อมา เชวียไห่ชวนก็พร้อมจะเข้าสู่ระนาบศึกจักรพรรดิ
ก่อนเดินทาง มันก็มาหาต้วนหลิงเทียนโดยเฉพาะ “ไปกันเถอะเสี่ยวเทียน ข้าจะพาเจ้าไปส่ง”
ด้านติงเหยียนก็ได้มาหาต้วนหลิงเทียนที่บ้านของเชวียไห่ชวนแล้วเช่นกัน พร้อมจะพาต้วนหลิงเทียนไปยังสถานที่พักลุงสือคงของมัน ซึ่งทางนิกายมังกรสวรรค์จัดให้เป็นพิเศษ
เพียงแค่ต้วนหลิงเทียนที่คิดจะลาเชวียไห่ชวนแล้วไปกับติงเหยียน ทว่าเชวียไห่ชวนกลับมาหาเขาถึงบ้านเสียก่อน
นอกจากนั้นยังมีอีกคนที่อยู่ข้าง ๆ เชวียไห่ชวน
เป็นเชวียไห่ชาน
ครึ่งเดือนก่อนตอนได้เจอเชวียไห่ชวน ต้วนหลิงเทียนก็ทราบเรื่องที่เชวียไห่ชานออกจากการกักตัวฝึกฝนแล้ว พอได้เจอกันวันนี้ก็เลยไม่แปลกใจอะไร
“พี่ไห่ชาน เมื่อครูข้าถามติงเหยียน และติงเหยียนก็ได้คุยกับอาวุโสสือคงแล้ว…ท่านเองก็สามารถไปพักกับข้าที่บ้านของอาวุโสสือคงได้”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวชวนเชวียไห่ชาน “ในระนาบศึกจักรพรรดิ พลังวิญญาณฟ้าดินมันเบาบางมาก ยากจะฝึกฝนบ่มเพาะอะไรได้”
ได้ยินคาชวนของต้วนหลิงเทียน เชวียไห่ชานก็ส่าย่อหน้าไปมา “เสี่ยวเทียน ข้าซาบซึ้งนำใจเจ้า อย่างไรก็ตามข้าไม่ได้คิดเข้าไปฝึกฝนในระนาบศึกจักรพรรดิ เพียงแค่อยากไปเสพย์บรรยากาศสงคราม รวมถึงเดินดูอะไรไปเรื่อยเปื่อยในเมืองมังกรสวรรค์กับเมืองสันติ”
“ตั้งแต่มาถึงนิกายมังกรสวรรค์ ข้าก็เอาแต่ปิดด่านมาตลอด ครั้งนี้ก็ถือว่าให้ข้าไปเดินเล่นผ่อนคล้ายอารมณ์เถอะ”
พูดถึงจุดนี้ เชวียไห่ชานราวกับรู้ว่าต้วนหลิงเทียนกำลังจะพูดอะไร จึงกล่าวเสริมออกมาว่า “เสี่ยวเทียนข้าไม่ได้คิดเกรงใจอะไรทานองนั้น เพียงแค่ช่วงนี้ข้าไม่คิดจะบ่มเพาะฝึกฝนจริง ๆ”
“วันหน้าหากข้าคิดจะบ่มเพาะพลังต่อข้าไม่เกรงใจแน่”
หลังได้ยินคำพูดของเชวียไห่ชาน ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
หลังจากนั้นภายใต้การคุ้มครองของเชวียไห่ชวน ต้วนหลิงเทียนก็ติดตามติงเหยียนไปยังแนวเทือกเขาแห่งหนึ่งของนิกายมังกรสวรรค์ จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังเข้าสู่งชั้นลูกหนึ่ง
แถวนี้มีหนวยลาดตระเวนของนิกายมังกรสวรรค์แค่ไม่กี่คน อีกทั้งต้วนหลิงเทียนกวาดตามองไปรอบ ๆ ก็ไม่เห็นว่าจะมีผู้คนแวะเวียนผ่านมาเลยสักคน บรรยากาศจึงค่อนข้างสงบเงียบนัก
พอเห็นแววตาสงสัยของต้วนหลิงเทียน ติงเหยียนก็อธิบายให้ฟัง “พอดีท่านลุงสือคงชมชอบความสงบ เช่นั้นนกระทั่งหน่วยลาดตระเวนก็มีแค่ไม่กี่คน”
“นอกจากนั้น ในละแวกนี้นอกจากบ้านของลุงสือคงแล้วก็ไม่มีใครอยู่อีก ทำให้แลดูเปลี่ยวร้างวังเวงเช่นนี้แหล่ะ”
ติงเหยียนัพักอาศัยอยู่ที่นี่มานานแล้ว เช่นั้นนจึงรู้สถานการณ์แถวนี้ดีกว่าเชวียไห่ชวน
ด้านเชวียไห่ชวันที่ฟังอยู่ ก็พยักหน้าเห็นด้วยพลางกล่าวเสริม “ตั้งแต่ที่อาวุโสสือคงเข้าสู่นิกายมังกรสวรรค์ในฐานะอาวุโสสักการะ ท่านก็มักปลีกวิเวกเสมอ…ข้าเองก็เคยพบเจอเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ยังเป็นวันแรกที่ท่านเข้าสู่นิกายมังกรสวรรค์”
พอนึกถึงฉากเรื่องราวในปีนั้น เชวียไห่ชวนก็ยังอดสับสนไม่ได้
มันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคิดไปเองรึเปล่า ทว่าวันั้นนหลังได้พบเจออาวุโสสือคงที่ประมุขนิกายมังกรสวรรค์พามาครั้งแรก มันรู้สึกว่าสายตาที่ประมุขใช้มองอาวุโสสือคงมันเต็มไปด้วยความยาเกรง
ต้องทราบว่ากระทั่งอาวุโสมังกรทองไม่กี่คนในนิกาย มีเพียงแค่อาวุโสมังกรทองที่มีศักดิ์ฐานะเป็นอาจารย์ลุงและอาจารย์อาของประมุขั้นน ถึงทำให้ประมุมของด้วยสายตาเช่นั้นนได้
‘บางที่อาวุโสสือคงอาจเป็นผู้อาวุโสของท่านประมุข ?’
ตั้งแต่วันั้นนจนถึงวันนี้ เชวียไห่ชวนก็ยังเชื่อเช่นั้นนไม่เปลื่ยน ถึงแม้ว่าแลแล้วอาวุโสสือคงจะไม่ได้มีอายุมากกว่าปริะมุขราวกับเป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่ในโลกแห่งการฝึกตนรูปลักษณ์มันเกี่ยวพันกับอายุที่ไหนักน
“ข้างหน้ากถึงแล้ว”
ภายใต้การนำทางของติงเหยียน ต้วนหลิงเทียนกับคนอื่น ๆ ก็แลเห็นม่านหมอกบาง ๆ ที่ปกคลุมไปทั่วหุบเขาอัน เงียบสงบแห่งหนึ่ง
ฟุ่บ!
คล้ายสายลมพัดผ่านมาหอบหนึ่ง ชวนให้มวลหมอกปั่นป่วนเบา ๆ จากนั้นก็ปรากฏร่างชราหนึ่งท่ามกลางม่านหมอกดังกล่าว
จากนั้นอีกฝ่ายก็ก้าวออกมาจากม่านหมอก
“ผู้เฒ่าเหวิน”
พอเห็นชายชราออกมารับ ติงเหยียนก็เร่งประสานมือโค้งคารวะทันที่
“นายน้อยติงเหยียน ข้าบอกท่านกี่รอบแล้วว่าข้าเป็นเพียงข้ารับใช้ของนายท่านเท่านั้นิทานไม่ต้องทำเช่นนี้”
ชายชรากล่าวอย่างทอดถอนใจ หากทว่าแววตาที่มันใช้มองติงเหยียนั้นนดูอ่อนโยนมาก
ด้านติงเหยียนก็คล้ายจะคุ้นชินกับวาจาดังกล่าวของชายชราแล้ว จึงทำเป็นไม่ได้ยินเพียงกล่าวว่า “ผู้เฒ่าเหวิน มา ๆ ข้าจะแนะนำสหายข้าให้ท่านรู้จัก”
กล่าวจบคา ติงเหยียนก็หันไปมองต้วนหลิงเทียน “ผู้เฒ่าเหวิน นี่คือต้วนหลิงเทียน สหายที่ข้าพบเจอสมัยอยู่ในสถานศึกษาหมอกเร้นลับสาขาเมืองวายุสวรรค์”
“ส่วน 2 ท่านี้น ด้านซ้ายก็คืออาวุโสเชวียไห่ชวน อีกคนก็คือพี่ชายของอาวุโสเชวียไห่ชวน เชวียไห่ชาน”
ติงเหยียนเร่งกล่าวแนะนำทั้ง 3 คนให้ผู้เฒ่าเหวินรู้จักทันที่
“นายน้อยต้วน อาวุโสไห่ชวน”
หลังทักทายต้วนหลิงเทียนกับเชวียไห่ชวนด้วยรอยยิ้มแล้ว ชายชราก็พยักหน้าให้เชวียไห่ชานเช่นกัน ถึงแม้จะไม่ได้กล่าวคาอะไร แต่ก็เผยให้รู้ว่าให้ความสนใจเช่นกัน
“ผู้เฒ่าเหวิน”
ด้านต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 ก็กล่าวตอบพร้อม ๆ กัน
“แขกทั้ง 3 ท่าน ตอนนี้นายท่านกำลังรอพวกท่านอยู่ เชิญตามข้ามาทางนี้”
ชายชราคลี่ยิ้ม จากนั้นก็ผายมือไปด้านหลังพลางกล่าวเชิญต้วนหลิงเทียน เชวียไห่ชวน และเชวียไห่ชาน ก่อนจะหันหลังและเหินร่างนาทางไป และที่ใดก็ตามที่ชายชราเหินผ่าน ม่านหมอก็กค่อย ๆ กระจายตัวแหวกออก ไม่กลับมาบรรจบอยู่นาน จนเมือพวกต้วนหลิงเทียนเหินตามเข้าไปแล้ว ม่านหมอกจึงบรรจบ ปิดตัวอีกครั้ง
ขณะเดียวกัน เสียงผ่านพลังของติงเหยียนก็ดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียนอย่างประจวบเหมาะ “ต้วนหลิงเทียน ผู้เฒ่าเหวินมักติดตามอยู่ข้างกายท่านลุงสือคงตลอดเวลา ทุกครั้งที่ท่านลุงออกไปด้านนอกกกผู้เฒ่าเหวินก็ติดตามไปด้วยไม่เคยห่างเลย”
“ผู้เฒ่าเหวินั้นนติดตามท่านลุงสือคงมานานมากแล้ว ถึงแม่ทานลุงสือคงจะแลดูไม่ค่อยสนใจผู้ใด แต่ยังให้เกียรติท่านผู้เฒ่าเหวินมาก ยังเรียกหาว่า ปู่เหวิน อีกด้วย”
“และเพราะท่านลุงสือคงดีต่อข้ามาก ผู้เฒ่าเหวินก็เลยสุภาพทั้งให้เกียรติข้ามาตลอด ไม่เคยดูถูกข้าเพราะพลังบ่มเพาะที่อ่อนด้อยเลย”
ฟังจากคำพูดของติงเหยียน เห็นชัดว่ามันประเมินชายชราผู้นำทางไว้สูงมาก
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับเบา ๆ จากนั้นก็มองไปยังแผ่นหลังของชายชราที่นาทางอยู่ด้านหน้า คิ้วข้างหนึ่งยังเลิกขึ้น
เขามองชายชราคนนี้ไม่ออก
อีกฝ่ายให้ความรู้สึกลึกลับกับเขา
ความรู้สึกเช่นนี้ นับประสาอะไรกับเชวียไห่ชวน ต่อให้เป็นอาวุโสมังกรดาที่เขาเคยพบเจอยังไม่ทำให้เขารู้สึกแบบนี้เลย
แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนก็รู้ดี ว่าความรู้สึกดังกล่าวมันไม่ได้มีความหมายอะไร
ไม่ใช้ว่ายิ่งแข็งแกร่ง จะยิ่งทำให้ผู้คนรู้สึกลึกลับ
เป็นแค่บุคลิกภาพ ท่วงท่า รวมถึงสภาวะเท่านั้น
มีผู้ฝึกตนหลายคนที่เขาเคยพบเจอที่ให้ความรู้สึกลึกลับไม่ธรรมดาปานเทพเซียนยอดฝีมือหากทว่าพลังฝึกปรือที่แท้กลับอ่อนด้อย ไม่ได้เก่งกาจอะไรเลย
“นายท่าน แขกมาถึงแล้ว”
ภายในหุบเขาเต็มไปด้วยความเขียวขจีและความสดชอุ่มองไปพบเจอมวลหมู่บุปผานานาพรรณ ทั้งวิหกนน้อยโผบินี้เป็นฝูง ท่ามกลางธรรมชาติอันงดงาม ปรากฏบ้านลาน 6 หลังตั้งอยู่ล้อมรอบ บ้านลานหลังใหญ่ตรงกลางปานดาวล้อมเดือน
และในปัจจุบันชายชราก็นาพาทุกคนมายังบ้านลานหลังตรงกลาง ก่อนจะโค้งคานับกล่าวคาทักทายด้านหน้าประตู
“เข้ามาเถอะ”
เมื่อประตูบ้านถูกเปิดออก ต้วนหลิงเทียนกับคนอื่น ๆ ก็เดินผ่านประตูเข้ามายังลานหน้าบ้านภายใต้การนำของชายชรา
และในวินาทีที่ก้าวข้ามธรณีประตูมา ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกเสมือนมีแสงสว่างเรื่องขนวาบหนึ่งเบื้องหน้า จากนั้นลานบ้านด้านหน้าที่เดิมเห็น้เป็นลานดินโล่ง ๆ ก็แปรเปลื่ยนไปทันที่กลับกลายเป็นสวนดอกไม้ให้ความสดชื่นและเงียบสงบยิ่งขึ้น แถมดอกไม้ในลานแห่งนี้ยังงดงามกว้าด้านนอกกกเสียอีก
‘ที่แท้ทุกสิ่งที่เหน็จำกัดด้านนอกกกเป็นภาพลวงตา หลังผ่านประตูบ้านมาแล้วถึงจะเห็นของจริง’
ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจได้โดยพลัน