“รองประมุขเซวีย ของที่ท่านรับปากว่าจะมอบให้ข้าเล่า มิใช่ว่าสมควรมอบให้ข้าได้แล้วหรือ ?”
ร่างในชุดคลุมลมดาปกปิดมิดชิดหนึ่งปรากฏขึ้นในบ้านของเซวียหมิงจื่อรองประมุขนิกายมังกรสวรรค์ มันเอ่ยคาสัญญาออกมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
ด้านเซวียหมิงจื่อบัดนี้สีหน้ากลับกลายเป็นปั้นยากันก “เจ้าเล่นตุกติกและบอกเชวียไห่ชวนให้มันคุ้มกันต้วนหลิงเทียนไปส่งที่บ้านพักของอาวุโสสักการะสือคงเช่นั้นน หรือ ?”
อาวุโสสักการะสือคง เป็นตัวตนที่ลึกลับยากหยั่งถึงแม้จะเป็นเซวียหมิงจื่อ
มันรู้แค่ว่าอีกฝ่ายถูกประมุขนิกายเชิญมาด้วยตัวเองแถมความสัมพันธ์ก็คล้ายจะดีนัก แม้ฐานะของอีกฝ่ายจะเผยให้ผู้คน
ทราบว่าเป็นอาวุโสมังกรดา แต่พลังฝีมือน่ากลัวจะไม่ได้ง่ายดายเหมือนอาวุโสมังกรดาทั้งหลาย
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม มันรู้ดีว่าไม่อาจล่วงเกินอีกฝ่ายได้โดยง่าย
ท้ายที่สุดแล้ว เบื้องหลังอีกฝ่ายก็คือประมุขนิกาย
“รองประมุขเซวีย ท่านว่าข้ามีเหตุผลที่ต้องทำอะไรเช่นั้นนด้วย หรือ ?”
ร่างในชุดคลุมลมดาเอ่ยตอบเสียงเย็น “เรื่องที่ท่านขอให้ข้าทาข้าก็ทาเรียบร้อย…แต่ไฉนตอนนี้รองประมุขเซวียท่านถึงได้ยึกัยกันกุเลา มิใช่ว่าคิดจะเบี้ยวข้าหรอกนะ ?”
กล่าวถึงจุดนี้ ทั่วร่างชายในชุดคลุมลมดาก็เริ่มแผ่กลิ่นอายเย็นชามากขึ้นทุกขณะ
“หึ!”
เซวียหมิงจื่อพ่นลมสบถอย่างไม่สบอารมณ์ แต่สุดท้ายมันก็สะบัดมือส่งแหวนพื้นที่ออกไป้ด้านชายในชุดคลุมลมดาก็คว้าไว้ก่อนจะส่องภายในดูสิ่งของในแหวน จากนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างพึงพอใจ “ขอบคุณยิ่งรองประมุขเซวีย”
“หลังจากวันนี้ไป ข้าท่าน พวกเราไม่มีใดเกี่ยวข้องกันอีกเหมือนกาลก่อน”
ร่างชายในชุดคลุมลมดาสั่นไหวเบา ๆ ก่อนคนจะอันตรธานหายไปดั่งสายลม
หลังจากร่างชายในชุดคลุมลมดาหายตัวไปไม่นาน เซวียหมิงจื่อก็ส่งข้อความออกไปทันที่“ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนมันไปมุดหัวอยู่ที่บ้านพักของอาวุโสสักการะสือคงแล้ว ข้าจักให้คนไปเฝ้าจับตาดูไว้ เมื่อใดที่ต้วนหลิงเทียนไร้จอมราชันเทพคุ้มกัน ข้าจะแจ้งให้เจ้าไปจัดการมันทันที่”
ข้อความดังกล่าว ส่งไปถึงอาวุโสฝ่ายในกวงเทียนเจิ้ง
“เช่นั้นนข้าจะรอข่าวดีจากรองประมุขเซวีย”
กวงเทียนเจิ้งตอบข้อความกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย คล้ายไม่ได้สนใจอะไรมากมาย
หลังตอบกลับข้อความแล้ว มุมปากมันก็ยกยิ้มเย้ยหยันขึ้นมา “เฮอะ เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าต้วนหลิงเทียนผู้นั้นมีันี้เป็นตัวโง่งม ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ มิแคล้วมันต้องรอให้ทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันเทพก่อน ถึงจะออกไปไหนมาไหน”
“ด้วยพรสวรรค์ของมัน บวกกับความสามารถในการหลอมโอสถเทพระดับราชาขั้นสุดยอดได้ตามอำเภอใจ นอกจากนั้นมีันยังได้โอสถเทพทะลวงราชันไปแล้ว…”
“เช่นั้นนเกรงว่าไม่ถึง 100 มันก็สามารถทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันเทพได้แน่ กระทั่งยังอาจจะควบรวมปรับด่านพลังให้เสถียรได้อีกด้วย”
กวงเทียนเจิ้งกล่าวพึมพา ในสายตาของมันทันทีที่ต้วนหลิงเทียนทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันเทพ ไม่ว่ามันจะทำอะไรทุกอย่างก็ล้วนไร้ความหมาย เพราะมันไม่มี่นใจเลยว่าจะสามารถฆ่าต้วนหลิงเทียนได้ในกระบวนท่าเดียว
และถ้ามันไม่อาจฆ่าต้วนหลิงเทียนได้ในกระบวนท่าเดียว เช่นั้นนพอมันตกเป็นเป้าของอาวุโสมังกรดาที่ลาดตระเวนแถว ๆ นั้น มันย่อมไม่มีหนทางรอดพ้นความตายได้แน่
…
หลังจากต้วนหลิงเทียนปิดด่านบ่มเพาะได้ราว ๆ 2 เดือน ก็มีร่างหนึ่งมาหาเขาถึงหน้าบ้าน และส่งสัญญาณปลุกเขา
เป็นลูกสาวของสือคงเยี่ย สือคงเยว่
สือคงเยว่นั้น เป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของสือคงเยี่ย และต้วนหลิงเทียนก็รับทราบแวว่านางมีใจให้เขา หลังได้ยินเรื่องที่สือคงเยี่ยขอให้เขารับปากเมื่อ 2 เดือนก่อน
“ต้วนหลิงเทียน มิคิดเลยว่าเจ้าจะมาหาพวกเรา”
เมื่อได้เห็นต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ท่าทีของสือคงเยว่ก็ไม่ดุดันแข็งกร้าวอีก สองตาคู่งามดั่งสารทฉายประกายยินดีมีสุขไม่น้อย
“แม่นางสือคง”
ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มกล่าวทักสือคงเยว่ “ที่ข้ามาอยู่ที่นี่ได้ ทั้งหมดเพราะติงเหยียนช่วยหาที่ปลอดภัยให้ข้า”
“อีกทั้งต้องขอบคุณอาวุโสสักการะสือคง ที่เต็มใจให้ข้าหลบภัย”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
“ติงเหยียน ?”
สือคงเยว่เลิกคิ้วขึ้น จากนั้นก็ส่ายหัวไปมาพลางกล่าว “ต้วนหลิงเทียน ต่อให้เจ้าไม่ไปหาติงเหยียน เพียงเอ่ยปากบอกข้าสักคา ข้าก็สามารถขอให้ท่านพ่อยอมให้เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้แล้ว”
“ท่านพ่อของข้าก็ชมชอบอัจฉริยะเช่นเจ้า”
“อย่างเช่นอาวุโสเชวียไห่ชวนิทานพ่อเองก็ชื่นชมไม่น้อย”
“ก่อนที่เจ้าจะปรากฏตัว อาวุโสเชวียไห่ชวนนับเป็นคนที่ท่านพ่อชื่นชมมากที่สุดในนิกายมังกรสวรรค์ …อย่างไรก็ตามพอเจ้าปรากฏตัวขึ้นมา นับว่ากลบรัศมีอาวุโสเชวียไห่ชวนอยู่บ้าง”
สือคงเยว่กล่าว
“ตัวข้าในตอนนี้ยังไม่กล้าเทียบชั้นกับพี่ไห่ชวนหรอก”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้มเฉยเมย จากนั้นก็เอ่ยถามเข้าเรื่อง “ว่าแต่แม่นางสือคงมาหาข้าวันนี้ได้ มิทราบมีเหตุอันใดหรือ ?”
“เพื่อตอบแทนที่อาวุโสสักการะสือคงให้ข้าอยู่ที่นี่ ขอเพียงไม่เหลือบ่ากว่าแรง ข้าย่อมไม่ปฏิเสธ’
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
“จริงหรือ ?”
สองตาสือคงเยว่เป็นประกาย ยังฉายแววแห่งความสุขแจ่มชัด
“ยกเว้นให้ข้าเป็นอาจารย์สอนเต๋าแห่งการหลอมโอสถเทพให้ท่าน”
ก่อนที่สือคงเยว่จะทันได้พูดอะไร ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวออกมาสืบต่อว่า “กล่าวไป เรื่องนี้ก็ไม่ใช้ความลับอะไร”
“แต่ข้าขอบอกแม่นางสือคงท่านไว้ตอนนี้เลยว่า ความรู้ความเข้าใจในเต๋าแห่งการหลอมโอสถเทพของข้า เป็นอะไรที่ธรรมดามาก…เพียงแค่ข้าเกิดมาก็มีสัมผัสไวต่อพลังชีวิตที่อยู่ท่ามกลางพลังวิญญาณฟ้าดินี้เป็นพิเศษ”
“ในนิกายมังกรสวรรค์แห่งนี้ มีปรมาจารย์หลอมโอสถเทพมากมายที่เก่งกาจทั้งถ่องแท้ในเต๋าแห่งการหลอมโอสถเทพมากกว่าข้า…ถ้าแม่นางสือคงสนใจร่าเรียนการหลอมโอสถเทพจริง ๆ ท่านอดีตประมุขผู้เฒ่านับว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด”
“ข้าได้ยินมาว่าอาวุโสสักการะสือคงนั้นมีไมตรีอันดีกับประมุขนิกาย เช่นั้นนด้วยมีความช่วยเหลือจากประมุขนิกายอีกแรง ข้าเชื่อว่าอดีตประมุขผู้เฒ่าต้องยินดีชี้แนะท่านแน่”
พอต้วนหลิงเทียนเปิดปากกล่าวออกมาก็เรียกวาดักทางสือคงเยว่ทันที่
สือคงเยว่ย่นคิ้วเล็กน้อย “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าอยากขอคำชี้แนะเรื่องการหลอมโอสถเทพ…เป็นท่านพ่อบอกเจ้าหรือ ?”
ต้วนหลิงเทียน เงียบไปไม่ตอบคา
“ดูเหมือนท่านพ่อจะบอกเจ้าแล้วจริง ๆ”
สือคงเยว่ส่ายหัวไปมา ค่อยพูดต่อ “ต้วนหลิงเทียนอันที่จริงข้าเองก็ไม่เคยสัมผัสการหลอมโอสถเทพเลย…ข้าเพียงอยากได้าจารย์ที่จะสามารถสอนสั่งและชี้แนะข้าตั้งแต่เริ่มได้”
“เช่นั้นน เจ้านับว่ามีคุณสมบัติมากเกินพอที่จะเป็นอาจารย์หรือครูที่คอยสอนสั่งข้า”
สือคงเยว่ยิ้ม
กระทั่งขณะกล่าวถึงท้ายประโยค สองตาของนางยังเผยประกายเจ้าเล่ห์ ทาราวกับทุกอย่างอยู่ในกามือ
“ข้าเกรงว่าเรื่องนั้นคงเป็นไปไม่ได้”
ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มขื่นขม “แม่นางสือคง ตอนนี้ข้ากำลังง่วนอยู่กับการบ่มเพาะพลัง และเมื่อไม่นานมานี้ข้าเองก็อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการทะลวงขอบเขตจอมราชันเทพ…เช่นั้นนข้าเกรงว่าคงไม่มีเวลามากพอจะช่วยเหลือท่านได้”
“ท่านไปหาอาจารย์หรือครูดี ๆ คนอื่นเถอะ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวปฏิเสธสือคงเยว่อย่างละมุนละม่อม
ด้านสือคงเยว่หลังได้ยินคาปฏิเสธของต้วนหลิงเทียน ความตื่นเต้นก็หายไปจากใบหน้านางทันที่“ต้วนหลิงเทียน หากเจ้าคิดจะปฏิเสธก็กล่าวออกมาตรง ๆ เถอะ ไฉนต้องใช้ข้ออ้างเหลวไหลเช่นนี้ด้วย”
“หัวเลี้ยวหัวต่อของการทะลวงขอบเขตจอมราชันเทพหรือ ? เจ้ายังพึ่งบรรลุถึงราชาเทพขั้นสูงใด้นานเท่าไหร่กัน จะบรรลุถึงขอบเขตจอมราชันเทพแล้ว ?”
“ข้าทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพขั้นสูงก่อนเจ้าตั้งนาน แต่ข้ายังห่างไกลจากขั้นั้นนมาก”
“แต่เจ้าบอกว่าเจ้ามาถึงขั้นั้นนแล้ว…เจ้าคิดว่าข้าสือคงเยว่หลอกง่ายนัก หรือ ?”
สิ้นคำกล่าว สือคงเยว่ก็หันหลังและเดินจากไปอย่างฉุนเฉียว
“แม่นางสือคง”
ทว่าในขณะที่สือคงเยว่กำลังจะเดินออกประตูต้วนหลิงเทียนก็กล่าวรั้งนางไว้
สือคงเยว่ก็หยุดชั่วคราว ใบหน้าที่เดิมขุ่น เคืองไม่พอใจเริ่มปรากฏรอยยิ้มร่าเข้ามาแทนที่ด้วยเข้าใจว่าต้วนหลิงเทียนเปลื่ยนใจแล้ว
เรียกว่าพริบตาเดียวอารมณ์ของนางก็พลิกกลับราวพลิกฟ้าคว่ำดิน
แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนย่อมไม่อาจแลเห็นสีหน้าของนางได้
“มีอะไรอีก”
สือคงเยว่เอ่ยถาม น้ำเสียงยังนุ่มนวลกว่าเดิมมาก ไม่เหวี่ยงวีนเหมือนเมือครูอีก
“อันที่จริงก็ไม่มีอะไร”
ต้วนหลิงเทียนได้แต่ยักไหล่เบา ๆ พลางกล่าว “ข้าเพียงอยากบอกให้แม่นางสือคงรู้ไว้…ใจข้าต้วนหลิงเทียนมีจำกัด และบัดนี้ในใจข้าก็มีสตรีมากพอแล้ว”
“แต่นี้ต่อไปข้าไม่คิดเปิดรับและสนใจสตรีอื่นใดอีก”
หากเป็นสถานการณ์ปกติ ต้วนหลิงเทียนคงจะพูดให้มันละมุนละม่อมหน่อย
แต่หลังจากได้รับการเตือนของสือคงเยี่ยก่อนหน้า ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดพูดอ้อมีอะไร เลือกจะพูดออกมาตรง ๆ ให้มันชัดเจน ไม่แยแสอารมณ์ของสือคงเยว่แม้แต่น้อย
เพราะในสายตาเขา การลงมีดอย่างรวดเร็วตัดให้ขาดในคราเดียว ย่อมไม่ทรมาณเหมือนค่อย ๆเลื่อยหั่นี้เป็นแน่
พอเสียงต้วนหลิงเทียนดังจบคา ร่างบางของสือคงเยว่ก็สะท้านไปทันใด
หลังจากนั้นครูหนึ่ง สือคงเยว่ก็หันหลังกลับมา สองตาคู่งามดั่งสารทของนางบัดนี้คล้ายฉาบเคลื่อนไว้ด้วยน้าแข็ง “ต้วนหลิงเทียน เจ้าอย่าได้หลงตัวเองให้มันมากนัก!”
“เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าที่ข้าสือคงเยว่มาวอกับเจ้า เป็นเพราะข้าตกหลุมัรกอะไรเจ้า ?”
“เจ้าจะหลงตัวเองมีากเกินไปแล้ว!”
“ข้าสือคงเยว่ ต่อให้ต้องโดดเดียวไปชั่วชีวิตก็ไม่คิดจะแยแสเจ้าต้วนหลิงเทียน!!”
กล่าวจบคาร่างสือคงเยว่ก็เหินร่างขึ้นฟ้าจากไปทันที่ใบหน้างามของนางยังเต็มไปด้วยความอับอายทั้งโกรธเคือง
แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดแลเห็นความเจ็บปวดในดวงตาคู่งามยามสารทของนาง เพียงแค่มันปรากฏขึ้นไม่นานก็หายลับไป แทนที่ด้วยความเด็ดเดียวแน่วแน่
รักที่พึ่งงอกเงย ได้ถูกนางตัดขาดด้วยตัวนำงเอง
“ขอบคุณเจ้าแล้ว…”
หลังสือคงเยว่จากไป ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเสียงกล่าวขอบคุณอย่างทอดถอนใจ
เป็นเสียงของสือคงเยี่ย บิดาสือคงเยว่
“ครั้งนี้นับว่าข้าติดค้างเจ้าแล้วจริง ๆ”
สือคงเยี่ยกล่าว
หลังเสียงกล่าวสือคงเยี่ยจางหายไป ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่คลี่ยิ้มแหย ๆ จากนั้นก็ส่าย่อหน้าไปมาพลางถอนหายใจ ‘รีบกลับไปทะลวงให้ถึงจอมราชันเทพต่อดีกว่า…’
‘เมื่อข้าทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันเทพแล้ว ข้าก็ไม่จำเป็นตองอยู่ที่นี่หรือหาใครคุ้มครองอีก’
ตอนนี้เขาเรียกว่าไม่อาจเข้าหน้าสือคงเยว่ได้แล้ว อย่างไรก็ตามเขายังัพักอาศัยอยู่ในบ้านของสือคงเยี่ย ต้วนหลิงเทียนเองก็รู้สึกอึดอัดทั้งลำบากใจอยู่บ้าง
ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้รู้เลย ว่าตั้งแต่ที่เขาพูดคาไร้เยื่อไยกับสือคงเยว่ ตัวนำงก็เข้าสระนาบศึกจักรพรรดิ ยังหากลุ่มเข้าไปลุยสนามรบราชาเทพ และไล่ฆ่าคนอย่างดุร้ายเกรี้ยวกราด
ราวกับนางจะระบายอะไรบางอย่างไม่ก็หนีอะไรบางอย่าง
เป็นธรรมดาที่ต้วนหลิงเทียนจะไม่รู้เรื่องทั้งหมด
หลังจากต้วนหลิงเทียนได้รับสมุนไพรชุดสุดท้ายที่ประมุขนิกายมังกรสวรรค์ให้คนนามาส่ง จากติงเหยียนที่ไปรับแทนเขาก่อนหน้านี้ เขาก็หลอมโอสถเทพที่ต้องใช้อยู่ไม่กี่วัน จากนั้นก็กลับไปปิดด่านบ่มเพาะต่อ
ระหว่างปิดด่านบ่มเพาะ เขาก็ลืมเลื่อนวันเวลาไปหมดสิ้น
…
เวลาผันผ่านไม่รอผู้ใด วสันตฤดูผ่านพ้นล่วงเลยเข้าสู่ยามสารท จวบจนวัสตฤดูมาเยือนอีกครา ไม่นานก็เข้าสู่ยามสารทอีกรอบ
พริบตาดุจลัดินิ้วมือ 2 ปีก็ผ่านไปเช่นนี้
การต่อสู้ในระนาบศึกจักรพรรดิยิ่งมาก็ยิ่งดุเดือน
ความตายในสนามรบราชาเทพ คล้ายกลับกลายเป็นเรื่องธรรมดาดั่งดินฟ้าอากาศ
แม้กระทั่งความถี่ในการตกตายของตัวตนระดับราชาเทพ นับวันก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ
ทำให้ทุกสายตาจับจ้องไปยังสนามรบราชาเทพเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม เมื่อสนามรบราชาเทพไร้ซึ่งต้วนหลิงเทียนกับซีเหม็นหลงเซี่ยงสถานการณ์ก็กลับกลายเป็น ‘ยุติธรรม’ ข้าตายเจ้าม้วย ไม่มีฝ่ายไหนได้เปรียบเสียเปรียบอีก
นิกายมังกรสวรรค์
ที่ไหนสักแห่ง
“ต้วนหลิงเทียนได้ออกจากเขตบ้านพักของอาวุโสสักการะสือคงแล้ว…และตอนนี้มันกำลังมุ่งหน้าไปยังสถานที่ตั้งประตูมิติสู่ระนาบศึกจักรพรรดิเพียงลาพัง”
ภายใต้คำสั่งของร้องประมุขนิกายมังกรสวรรค์ เซวียหมิงจื่ออาวุโสฝ่ายในกวงเทียนเจิ้งที่ต้องการเข้าไปยังสนามรบจอมราชันเทพแต่สุดท้ายก็ไม่ได้เข้าไป พลันได้รับข้อความจำกเซวียหมิงจื่อ
“ต้วนหลิงเทียนออกมาแล้วหรือ ?”
“แถมยังออกมาเพียงลาพัง ?”
กวงเทียนเจิ้งถึงกับอึ้ง สีหน้าทาที่เผยความเหลือเชื่ออยู่บ้าง เพราะเรื่องราวมันแตกต่างจากสิ่งที่มันจินตนาการเอาไว้โดยสิ้นเชิง
ต้วนหลิงเทียนผู้นั้น ปิดด่านบ่มเพาะไปแค่ 2 ปีก็เบื่อจนทนไม่ได้แล้วหรือ ?