เมื่อมีคนเอ่ยถามต้วนหลิงเทียนออกมา ทุกสายตาโดยรอบก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนเพื่อรอฟังทันที่
ไม่ว่าใครก็อยากรู้
ว่าต้วนหลิงเทียนที่พึ่งจะทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันเทพขั้นต่ำ ไปทาอีท่าไหนักนแน่ถึงได้มีพลังสามารถเข่นฆ่าตัวตนระดับอาวุโสฝ่ายใน 2 คนของนิกายมหาเอกะได้
ต้องทราบด้วยว่าอาวุโสฝ่ายในของนิกายมหาเอกะ ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนี้เป็นจอมราชันเทพขั้นกลางทั้งนั้น
ต่อให้ต้วนหลิงเทียนจะได้รับการยอมรับว่าเป็นอัจฉริยะที่เก่งกาจเยี่ยงปีศาจแค่ไหน แต่ความลึกซึ้งของกฏที่เข้าใจเต็มที่ก็น่าจะแค่พอ ๆ กับผู้อาวุโสฝ่ายในของนิกายมหาเอกะเท่านั้น และด้วยช่องว่าง

ของขั้นพลัง หากสามารถต่อกรกับชนชั้นอาวุโสฝ่ายในได้โดยไม่เสียเปรียบ ก็ถือเป็นเรื่องยอดเยี่ยมดั่งปาฏิหาริย์แล้ว
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะสามารถเข่นฆ่าผู้อาวุโสฝ่ายในได้เลย
ยิ่งไปกว่านั้น นี่คืออาวุโสฝ่ายในถึง 2 คน!
“พวกเจ้าเห็น หรือไม่ ดูเหมือนต้วนหลิงเทียนจะไม่บาดเจ็บอะไรเลย…แล้วมันทำได้อย่างไรกัน ?”
ในสายตาของทุกคนแล้ว นอกจากความอยากรู้ ก็คือความอยากร้อยากเหน็จับใจเท่านั้น
ท่ามกลางสายตาอยากร้อยากเห็นของทุกคน ต้วนหลิงเทียนก็คลี่ยิ้มบาง ๆ “อาวุโสท่านี้น หากข้าบอกว่าที่ข้าสามารถฆ่าอาวุโสฝ่ายในทั้ง 2 ของนิกายมหาเอกะได้ ล้วนี้เป็นเพราะโชคดี ท่านจะเชื่อหรือไม่ ?”

“โชคดี่? ให้ตายเถอะโชคดอย่างไรกัน!?”
หลายคนเร่งแย่งกันถามออกมาเสียงดังระงม
สองตาต้วนหลิงเทียนี้เป็นประกายเรื่องขนวาบหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวออกมาเสียงดังฟังชัด “เดิมที่ข้าที่เตร็ดเตร่อยู่ในสนามรบจอมราชันเทพมา 2 เดือน แต่ไม่พบเจอคนของนิกายมหาเอกะเลย ข้าก็รู้สึกเบื่อหน่ายและคิดจะกลับออกมาแล้ว”
“แต่ตอนั้นนเอง ข้าพลันได้ยินเสียงดังมาแต่ไกลจึงค่อย ๆ เข้าไปดูชม พอไปถึงธารน้าแข็งแห่งหนึ่งจึงพบเห็นคน 2 คนกำลังต่อสู้กันอยู่ และยังสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย”
“และที่สำคัญที่สุดก็คือ 2 คนที่กำลังสู้กันั่นน ไม่มีใครมาจากินกายมังกรสวรรค์ของเราเลย”
พอต้วนหลิงเทียนกล่าวคำนี้ออกมา ลูกตาของหลาย ๆ คนก็หดเล็กลงทันที่

“เฮ่ย! ต้วนหลิงเทียน!”
จากนั้นก็มีคนของนิกายมหาเอกะทนฟังไม่ไหว เอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “ที่เจ้าพูดมาแบบนั้นหมายความว่าอะไร…เจ้าจะบอกว่าผู้อาวุโสฝ่ายใน 2 คนของนิกายมหาเอกะเรา สู้กันเองในสนามรบจอมราชันเทพเช่นั้นนรึ!?”
ในปัจจุบัน ความไม่ลงรอยกันระหวางหวงเหลืยงกับฟางอี้หมิงไม่ได้เป็นความลับที่รู้กันแต่ในนิกายมหาเอกะอีกแล้ว ด้านนัิกายมังกรสวรรค์ก็ล่วงรู้ด้วยเช่นกัน
“ใช้”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “ทั้งคู่กำลังสู้กันเอง แถมทุกกระบวนท่ายังมุ่งหวังเอาชีวิตอีกฝ่าย…และในระหว่างที่ทั้งคู่สู้กัน ข้าก็ได้ยินทั้งคู่ก่นด่ากันไปมา สุดท้ายจึงพอจะจับใจความได้ว่าสาเหตุที่ทั้งคู่สู้กันั้นน เหมือนจะเกิดจากการตายของอาจารย์ฟางอี้หมิง เช่นั้นนทั้งคู่ก็เลยต้องฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่ง”

“ข้าที่ลอบดูทั้งคู่สู้กัน ก็รู้ตัวว่าพลังฝีมือสู้ไม่ได้ หากเผยตัวออกไปไม่พ้นต้องตายอนาถแน่…ทว่าพลังฝีมือของทั้งคู่กลับใกล้เคียงกันมากไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบเลย”
“เช่นั้นนข้าก็เลยได้แต่เฝ้ารอ…รอให้ทั้งสองคนั่นนสู้กันจนใกล้ตายเสียก่อน และหลังจากผ่านไป 3 วันสถานการณ์ก็เป็นไปดั่งที่ข้าคาดไว้”
“ทั้งคู่สู้กันจนเจ็บหนัก และพอแต่ละคนเสมือนตะเกียงใกล้หมดน้ำมีน ข้าก็ปรากฏตัวออกมาฆ่าทั้งคู่ทิ้ง”
“อ่า…กล่าวไปข้าไม่ได้ล่งเเรงอะไรมากมายเลย”
กล่าวถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนคล้ายไม่เห็นสายตาเอือมระอาของทุกคน เพียงยิ้มแล้วกล่าวสืบต่อ “จะว่าไปแล้วข้าล่ะอยากขอบคุณอาวุโสฝ่ายในทั้ง 2 ของนิกายมหาเอกะจริง ๆ ที่สู้กันเองแบบนั้น หาไม่แล้วข้า ต้วนหลิงเทียน ที่พึ่งจะเข้าสู่สนามรบจอมราชันเทพครั้งแรก คงไม่ได้เก็บเกี่ยวครั้งใหญ่ขนาดนี้”

“หลังฆ่าทั้ง 2 คนั่นนและเก็บป้ายประจำตัวรวมถึงสิ่งของทั้งหมดมาแล้ว ข้าก็ไม่คิดรั้งอยู่ในสนามรบจอมราชันเทพสืบไป…อันที่จริงตอนแรกข้าก็แค่คิดจะเข้าไปเปิดหูเปิดตาเท่านั้น แต่พอได้รับทรัพย์อื้อซ่า ข้าก็ไม่คิดอยู่อีก สุดท้ายที่นั่นมันก็อันตรายสำหรับข้ามาก”
ต้วนหลิงเทียนพูดถึงจุดนี้ เขาก็ไม่สนใจฝูงชนที่กำลังตกตะลึงกับเรื่องราว ก้าวอาด ๆ จากไปทันที่
รอบนี้ไม่มีใครตามเขามาอีก
จนเมือแผ่นหลังของต้วนหลิงเทียนหายลับไปที่ปลายถนน เหล่าคนที่อื้ออึงก็เริ่มทยอยกันฟื้นคืนสติ “มารดามันเถอะ! ไม่คิดไม่ฝันจริง ๆ ว่าที่แท้เรื่องราวมันจะเป็นเช่นนี้!!”
“โอย โชคของต้วนหลิงเทียนมันจะดีไปไหน ให้ตายเถอะไปเจออาวุโสฝ่ายในของนิกายมหาเอกะตีกันเอาตาย…สุดท้ายก็กลายเป็นเฒ่าประมงได้ประโยชน์ ฆ่า 2 คนั่นนริบของหน้าตาเฉยเลย…”

“แต้มรบ 4,000 แต้ม มันหามาได้ง่าย ๆ เช่นนี้ ? น่าอิจฉาแท้! ทำไมข้าทั้งอิจฉาทั้งหมั่นไส้มันนักล่ะ!?”
“จะดีแค่ไหักน หากข้าเดิน ๆ อยู่แล้วไปเจออาวุโสฝ่ายในของนิกายมหาเอกะตีกันเช่นั้นนบ้าง ?”

เสียงพูดคุยดังขึ้นระงม ที่ดังที่สุดก็คือเสียงโอดครวญด้วยความอิจฉา แน่นอนว่าผู้ที่อิจฉาล้วนแล้วแต่เป็นคนของนิกายมังกรสวรรค์ทั้งสิ้น
หลายคนยังถึงขั้นหันไปถามคนนิกายมหาเอกะด้วยซ้ำ ว่ามีคนที่เขม่นกันเยอะหรือไม่มีใครฆ่าบิดาฉุดภรรยากัน และเข้าไปในสนามรบจอมราชันเทพแล้วรึเปล่า เผื่อจะได้มีโชคพบเจอคนตีกันเอาตายอย่างต้วนหลิงเทียนบ้าง

ด้านนัิกายมหาเอกะ ก็ไม่คิดอยู่นาน แต่ละคนเร่งแยกย้ายจากไปทันที่
อย่างไรก็ตามแม้พวกมันจะไม่โต้ตอบอะไรกับการเอ่ยถามล้อเลียนของนิกายมังกรสวรรค์ แต่พวกมันก็เร่งส่งข้อความไปแจ้งเรื่องราวให้คนในเมืองมหาเอกะรับทราบด้วยน้ำเสียงเปี่ยมโทสะ ในถ้อยคำวาจาไม่ขาดการก่นด่าสาปแช่งห่วงเหลืยงและฟางอี้หมิงแม้แต่น้อย
ไม่นานนัก หวังเหลืยงกับฟางอี้หมิง 2 อาวุโสฝ่ายในของนิกายมหาเอกะที่พึ่งตกตาย ก็เหมือนจะกลายเป็นคนบาปของนิกายมหาเอกะทันที่
“อะไร!? หวังเหลืยงกับฟางอี้หมิงตกตายด้วยน้ามือต้วนหลิงเทียนรึ? ต้วนหลิงเทียนที่ฆ่าศิษย์ขอบเขตราชาเทพเราไปร้อยคนในสนามรบราชาเทพเมื่อไม่กี่ปีก่อนผู้นั้น ?”
“มันฆ่าอาวุโสฝ่ายในได้อย่างไร ไม่ใช้มันพึ่งทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันเทพขั้นต่ำหรอกรึ?”

“อาวุโสฝ่ายในทั้ง 2 สู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย 2-3 วันจนบาดเจ็บหนัก สุดท้ายก็เป็นต้วนหลิงเทียนที่ฉวยโอกาสตอนทั้งคู่เป็นดั่งตะเกียงสิ้นน้าหมัน ออกมาเก็บงานหน้าตาเฉย ?”
“ใช้ เรื่องราวเป็นเช่นนี้จริง ๆ เพราะข้าก็บังเอิญอยู่แถวนั้นตอนที่ต้วนหลิงเทียนเล่าเรื่องราวพอดี และต้วนหลิงเทียนยังบอกอีกด้วย ว่าที่ทั้งคู่คิดจะฆ่ากันให้ตายนั้นเหมือนจะเกิดจากการตายของอาจารย์ฟางอี้หมิง…”

ทั่วทั้งเมืองมหาเอกะล้วนเต็มไปด้วยความรู้สึกยากจะกล่าว เสมือนน้าท่วมปาก
อาวุโสฝ่ายในทั้ง 2 คนของนิกายมหาเอกะพวกมันที่พึ่งตกตายเมื่อไม่นานมานี้ ไม่ได้ตกตายเพราะพบเจอยอดฝีมือของนิกายมังกรสวรรค์ แต่สุดท้ายตกตายเพราะสู้กันเองจนเจ็บหนักและถูกผู้อื่นฉกฉวยโอกาส ?

“อัปยศ! ช่างอัปยศอดสูนัก! ตอนนี้พวกินกายมังกรสวรรค์คงหัวเราะพวกเรากันสนุกสนานแล้วกระมัง ?”
“ข้าไม่ทราบจริง ๆ ว่าพวกมันคิดอะไรเอ่ยู่กันแน่…ระนาบศึกจักรพรรดิเป็นดั่งสังเวียนให้นิกายมังกรสวรรค์รบกับนิกายมหาเอกะเรา พวกมันจะเข้าไปฆ่ากันในนนทำอะไร หากอยากจะฆ่ากันให้ตาย หรือในนิกายเราไม่มีที่ให้พวกมันลงนามประลองเป็นตายเพื่อฆ่ากัน ? หากพวกมันฆ่ากันตายในนิกายข้าจักไม่ว่าอะไรเลย นี่ดันไปตีกันจนเปลื้ยสุดท้ายก็ถูกผู้อื่นเข้ามาลงดาบสุดท้ายเสียอย่างนั้น เหลวไหลสิ้นดี”
“สองตัวบัดซบนั่นช่างทางามหน้านัก! พวกมันทำให้นิกายเรากลายเป็นตัวตลกของผู้คนแล้ว!!”

ต้วนหลิงเทียนไม่ได้รู้เลยว่าเรื่องราวที่เขาเล่าออกไปจะสร้างผลกระทบต่อเนื่องกันี้เป็นทอด ๆ ขนาดไหน

หวังเหลืยงกับฟางอี้หมิงบัดนี้ ได้กลายเป็นคนบาปของนิกายมหาเอกะ ไม่ว่าใครก็ถ่มถุยน้าลาย ประนามหยามหยัน
กระทั่งครอบครัวและญาติสนิทมิตรสหาย ก็ตกที่นั่งลำบากและตกเป็นจำเลยสังคมทั้ง ๆ ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยเลย
ต้วนหลิงเทียนมารู้เรื่องราว ก็ตอนที่เชวียไห่ชวนเล่าให้ฟัง ซึ่งมันผ่านไปแล้วเดือนกว่า “เสี่ยวเทียน เจ้าทาเรื่องใหญ่แล้ว…หาก 2 คนั่นนมันลุกขึ้นมาจากหลุมได้ ข้ากลัวว่าพวกมันต้องเสียใจจนกระอีกเลือดตายอีกรอบเป็นแน่ หากพวกมันได้รับรู้สถานการณ์ของครอบครัวและญาติสนิทมิตรสหายของพวกมันในปัจจุบัน”
“ข้าเองก็ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าพวกมันคิดอะไรเอ่ยู่กันแน่ ถึงได้ไปสู้กันในสนามรบจอมราชันเทพเช่นั้นน ยังสู้กันจนหมดแรงอีก…หรือพวกมันไม่กลัวว่าจะมีคนของนิกายมังกรสวรรค์เราบังเอิญผ่านไปแถวนั้นเลยรึไร ?”
ขณะเอ่ยถึงประโยคนี้ เชวียไห่ชวนก็ส่าย่อหน้าไปมา

ได้ยินคำพูดของเชวียไห่ชวน ต้วนหลิงเทียนก็สะดุ้งโหยงและรู้สึกผิดท่าอยู่บ้าง
เพราะในตอนั้นน แม้หวังเหลืยงกับฟางอี้หมิงสู้กันหมายเอาชีวิตก็จริง แต่ทั้งคู่นั้นก็ออมรั้งพลังไว้หลายส่วน โดยเฉพาะหวังเหลืยงที่ไม่อยากรบเร้าพัวพันกับฟางอี้หมิง
หากเขาไม่ไปปรากฏตัวที่นั่น น่ากลัวว่าสุดท้ายหวังเหลืยงคงเลือกที่จะหนี้ไป ไม่มีทางสู้กับฟางอี้หมิงจนเกิดการบาดเจ็บล้มตายอะไร แน่
‘เป็นพวกเจ้าอยากรู้กันเอง…หากจะโทษใคร ก็ไปโทษคนนิกายมหาเอกะที่มันเอ่ยถามข้าวันั้นนเถอะ…หากพวกมันไม่สงสัยกันอยู่ได้ ไหนเลยข้าต้องเล่าเรื่องราวเช่นั้นนออกไป’
เดือนก่อนตอนที่เขาพึ่งกลับออกมาจากสนามรบจอมราชันเทพ ต้วนหลิงเทียนก็คิดไปแลกดเปลี่ยนแต้มรบเพื่อเอาไปแลกของที่เขา

ต้องการเฉย ๆ ไม่ได้คิดจะเล่าเรื่องที่เขามีส่วนทำให้หวังเหลืยงกับฟางอี้หมิงสู้กันจนตายออกไป้
เหตุผลที่เขาเล่าเรื่องราวออกไปแบบนั้น ก็เพราะมีคนนิกายมหาเอกะเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงฟังไม่เข้าหูหมายให้พวกมันหน้าม้านเท่านั้น
อันที่จริงตั้งแต่ตอนที่เขาอยู่ในเมืองมังกรสวรรค์และกำลังเดินไปเมืองสันติ เขาก็ได้ยินเรื่องราวความไม่ลงรอยของฟางอี้หมิงกับห่วงเหลืยงมาแล้ว เขาจึงรู้ดีว่าไม่พ้นต้องโดนกล่าวถามแน่
กระทั่งเรื่องที่เขาเล่าออกไป้ก็มีคิด ๆ ไว้แต่แรก ว่าน่าจะเป็นคำต่อบที่ดีที่สุด
จะให้บอกว่าเขา ต้วนหลิงเทียน สามารถยุยงให้คนสองคนฆ่ากันเองจนตาย หลังจากนั้นก็สามารถฆ่าคนที่ยังรอดอยู่ได้ทั้ง ๆ ที่สภาพของอีกฝ่ายก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไร ? เรื่องนี้ต่อให้พูดไปแต่คนนิกายมังกรสวรรค์กับนิกายมหาเอกะจะมีใครเชื่อ ?

ศิษย์ฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์ที่พึ่งทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันเทพขั้นต่ำ สามารถทำให้อาวุโสฝ่ายในทั้ง 2 ของนิกายมหาเอกะตกตายได้ ?
หากเรื่องนี้แพร่ออกไป้นิกายมหาเอกะคงได้ถูกผู้คนหัวเราะจนตาย
แน่นอนว่าหากต้วนหลิงเทียนไม่ได้เล่าเรื่องราวอะไรออกไป้ต่อให้คนของนิกายมหาเอกะจะคาดเดาไปทานองดังกล่าว ก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อครอบครัวของผู้ตายทั้งสอง
ทว่าพอมี ‘คายืนยัน’ จากปากต้วนหลิงเทียน หวังเหลืยงและฟางอี้หมิงก็กลายเป็นคนบาปของนิกายมหาเอกะทันที่ถึงแม่ทางนิกายจะไม่อาจทำอะไรครอบครัวของทั้งคู่ที่ไม่เกี่ยวข้องได้ แต่คนในนิกายก็ไม่คิดปล่อยให้ทั้งหมดอยู่ดีมีสุขแน่นอน
“เสี่ยวเทียน”

ทันใดนั้น เชวียไห่ชวนคล้ายจะนึกอะไรได้ออก หันไปมองต้วนหลิงเทียนพลางเอ่ยถาม “ข้าได้ยินมาว่า…เมื่อเดือนก่อน หลังเจ้าแลกแต้มรบมา 4,000 แต้ม เจ้าก็ใช้มันไปหมดสิ้นแล้วรึ?”
“ในเมืองสันติ มีสิ่งของที่เจ้าต้องการมากขึ้นาดนั้นเชียว ?”
เชวียไห่ชวนสงสัย
“ใช้”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “ช่วงนี้มีหลายอย่างที่ข้าต้องใช้น่ะ”
“แต้มรบที่ข้าพึ่งแลกไปก่อนหน้า ข้าแลกทรัพยากรบ่มเพาะกับสมุนไพรมา ด้วยหวังว่าจะใช้มันขณะปิดด่านบ่มเพาะอีกครั้ง หลังจากใช้หมดแล้ว ข้าก็คิดจะเข้าไปในหาแต้มรบในสนามรบจอมราชันเทพอีกรอบ…ของที่ข้าต้องการข้าอยากแลกไว้ให้ได้โดยเร็วที่สุด ข้ากลัวมันจะถูกคนอื่นเอาไปจนหมดเสียก่อน”

เรื่องดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนไม่ได้คิดปิดบังอะไร
ยิ่งไปกว่านั้น วันหน้าตอนเขาไปแลกเปลื่ยน สุดท้ายสิ่งของใดๆ ที่เขาแลก็กถูกลวงรู้ได้ง่าย ๆ ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไร
“แล้วตอนนี้เจ้าขาดแต้มรบอยู่เท่าไหร่ ?”
เชวียไห่ชวนถาม
ต้วนหลิงเทียนไม่ได้คิดอะไรมาก หลังได้ยินคำถามดังกล่าวของเชวียไห่ชวนเขาก็กล่าวตอบไปตรง ๆ “ของที่ข้าอยากได้จริง ๆ ยังขาดอยู่ราว ๆ 14,000 แต้มรบ…แต่ครั้งหน้าหากเข้าไปฆ่าอาวุโสของนิกายมหาเอกะได้อีกสัก 2-3 คน ก็น่าจะพอให้ข้ามีแต้มรบใช้แลกบางส่วนที่จำเป็นก่อน”
“หากโชคดีฆ่าอาวุโสปฐพีของนิกายมหาเอกะได้ล่ะก็…แต้มรบ 3 เท่าเชียว”

ถึงแม้ในระนาบจอมราชันเทพ จอมราชันเทพขั้นกลางจะมีมูลค่า 2,000 แต้มรบ แต่หากเป็นชนชั้นอาวุโสมังกรขาวของนิกายมังกรสวรรค์หรืออาวุโสปฐพีของนิกายมหาเอกะ ที่นับเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในขอบเขตจอมราชันเทพขั้นกลาง หากฆ่าได้สักคนก็จะสามารถแลกเปลื่ยนแต้มรบได้ถึง 3 เท่าจากปกติ!!
กล่าวได้ว่า หากฆ่าอาวุโสฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์ จะได้รับแต้มรบเพียง 2,000 แต้มเท่านั้น
แต่การฆ่าอาวุโสมังกรขาวหรืออาวุโสปฐพี จะสามารถได้แต้มรบเป็น 3 เท่าจากปกติหรือกี่คือ 6,000 แต้ม!
“ฆ่าอาวุโสปฐพีของนิกายมหาเอกะ ?”
เชวียไห่ชวนส่าย่อหน้าไปมา “เสี่ยวเทียน เจ้าอย่าได้ชะล่าใจไปเพียงเพราะเจ้าบังเอิญฆ่าอาวุโสฝ่ายใน 2 คนของนิกายมหาเอกะได้…ความแข็งแกร่งของเจ้าในปัจจุบัน เอาตรง ๆ เจ้าอาจฆ่าอาวุโสฝ่ายในปกติได้ เรื่องจะสู้ได้รึเปล่ายังไม่แน่ด้วยซ้ำ”

“ทว่าอาวุโสปฐพีของนิกายมหาเอกะ หากไม่มีอะไรผิดพลาด ปกติแล้วไม่ว่าผู้ใด ก็สามารถรับมืออาวุโสฝ่ายในทั่วไปได้พร้อม ๆ กันถึง 3 คน!”