ต้วนหลิงเทียนกับพวกที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวโดยตรง ไม่ได้ล่วงรู้ถึงสงครามน้าลายด้านนอกกกเลย
ตอนนี้เขากับตงฟางเหยียนเหนียนและเชวียไห่ชวน กำลังเหินร่างข้ามฟ้าข้ามขุนเขาลำน้ำในสนามรบจอมราชันเทพอย่างสบายใจไม่ต่างอะไรจากเดินชมสวน
ไม่ผิด…มันผ่อนคล้ายประหนึ่งเดินชมบุปผานานาพรรณในสวนรุกขชาติจริง ๆ
“พอมากับพี่ท่านทั้ง 2 ข้าไม่รู้สึกถึงแรงกดดัน หรือประหม่าอะไรเลย…”
ต้วนหลิงเทียนที่เหินร่างมาสักพัก ก็คลี่ยิ้มขื่นขมกล่าวออกด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ “ตอนนี้ข้ารู้สึกเสียใจขึ้นมานิด ๆ แล้วที่มากับพวกท่าน…เพราะสบาย ๆ เช่นนี้ข้าจะได้ประสบการณ์ที่ไหนักน ?”
อันที่จริงแล้ว ศึกจักรพรรดินั้น ตัวเอกของเรื่องราวสมควรเป็นเหล่าจอมราชันเทพขั้นสูงที่ต่อสู้แข่งขันเพื่อแสวงหาหนทางก้าวหน้า และบรรลุถึงขอบเขตจักรพรรดิเทพ
อย่างไรก็ตาม หากเรื่องราวมันมีแค่เท่านั้น ไฉนขอบเขตพลังอื่น ๆ จึงต้องเข้าร่วมศึกจักรพรรดิด้วย มิสู้นัดเหล่าจอมราชันเทพขั้นสูงของทั้ง 2 นิกายมาสู้กันให้ตายไปข้างบนเวทีลุยไถเลยจะดีกว่าหรือ ?
แล้วไฉนไม่มีใครทาเช่นั้นน ?
นั่นเพราะไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าคู่ต่อสู้มีไพ่ตายกี่ใบ ในแขนเสื้อมีเล่ห์กลอันใดซ่อนอยู่
ในสถานการณ์ปกติ พลังฝีมือที่คู่ต่อสู้เปิดเผยออกมาอาจพอ ๆ กันกับท่าน แต่พอตกอยู่ในสถานการณ์เป็นตายเข้าจริง ๆ ไม่แน่คู่ต่อสู้ของทานอาจเปิดเผยไพ่ตายออกมา และฆ่าท่านได้ในชั่วพริบตา
ในประวัติศาสตร์ของระนาบเทพ เรื่องราวทานองนี้เกิดขึ้นจนเสมือนักลายเป็นสามัญสำนึกไปแล้ว แม้จะไม่ได้เกิดเรื่องราวทานองนี้มาหลายปีก็ตาม
ไม่มีใครโง่
การคงอยู่ของศึกจักรพรรดิ ศึกอริยะ รวมถึงศึกผู้แข็งแกร่งที่สุด แม้เป้าหมายจะชัดเจน แต่ก็ทิ้งทางถอยให้ทุกคน เพราะในสถานการณ์เป็นตายหากสู้ไม่ได้ ก็ยังเหลือทางเลือกสุดท้าย…หนี่
ในศึกจักรพรรดิ ศึกอริยะ ไม่เว้นศึกผู้แข็งแกร่งที่สุด สนามรบย่อยของแต่ระนาบึศกนั้น ไม่ว่าเป็นศึกระดับไหน ผู้คนที่เข้าไปก็สามารถเลือกจะล่าถอยได้หากสถานการณ์ไม่สู้ดี นอกจากนั้นหากไม่มี่นใจในตัวเองมีากพอจะหาเพื่อนไปด้วยก็ไม่ใช้เรื่องแปลกอะไรเลย
ยกตัวอย่างอาวุโสมังกรดาคนหนึ่งของนิกายมังกรสวรรค์ การเข้าสู่สนามรบกึ่งจักรพรรดินั้น หากไม่มี่นใจในตัวเองมีากพอก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปคนเดียวและมักจะหาเพื่อนเข้าไปด้วยเสมอ
เพราะเกิดเข้าไปคนเดียว และดันไปพบเจอตัวตนระดับผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายมหาเอกะเข้า ปกติแล้วก็มีแต่ตายสถานเดียว
อาวุโสสูงสุดของนิกายมหาเอกะ ไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าอาวุโสมังกรทองของนิกายมังกรสวรรค์เลย
ด้านฝั่งอาวุโสนภาของนิกายมหาเอกะเองก็เช่นกัน ปกติแล้วพวกมันก็มักจะหาเพื่อเข้าไปด้วยเสมอ เพราะอย่างน้อย ๆ หากโชคร้ายไปพบเจอผู้อาวุโสมังกรทองของนิกายมังกรสวรรค์เข้า อย่างน้อยก็ยังพอมโอกาสเอาชีวิตรอด
ในสนามรบใด ๆ หากไม่ได้เดินทางเพียงลาพังหรือคิดหนี อย่างน้อย ๆ หากมีความสามารถในการหนี้ได้เร็วพอก็สามารถเก็บกู้ชีวิตกลับมาได้
แต่ถ้าให้ขึ้นสังเวียนไปประลองเป็นตายกันจริง ๆ ก็หมดสิ้นหนทางหลบหนี
อาจกล่าวได้ว่า ศึกจักรพรรดิหรือศึกใด ๆ เป็นการเปิดโอกาสให้ทุกคนได้สู้กันอย่างเสรี เพื่อแสวงหาความก้าวหน้าโดยไม่ถึงขั้นปิดทางถอย
และในเมือไหน ๆ ก็เปิดสร้างระนาบศึกเพื่อให้ทุกคนเข้าไปสู้รบกันอย่างเสรีแล้ว การเปิดโอกาสให้มีแต่ตัวตนระดับสูง ๆ เข้าไปต่อสู้กัน ก็แลดูจะเป็นการสิ้นเปลืองอย่างเสียเปล่า เช่นั้นนก็เลยเปิดสนามรบย่อยอื่น ๆ กำหนดระดับพลังเอาไว้ เพื่อให้ทุกคนได้มีส่วนร่วม สุดท้ายผู้ที่สามารถต่อสู้เข่นฆ่าและรักษาชีวิตเอาไว้ได้ตลอดรอดฝั่ง ก็ไม่มีใครไม่ได้กำไร
ในระนาบศึกจักรพรรดิ สนามรบจอมราชันเทพถือว่ามีความสำคัญเป็นรองจากสนามรบกึ่งจักรพรรดิ
ส่วนสนามรบราชาเทพนั้น เป็นดั่งสถานที่ขัดเกลาเด็ก ๆ…
“เสี่ยวเทียน เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องนี้เลย…”
เชวียไห่ชวนยิ้มกล่าว “หากพวกเราเจอศัตรูเดียวพวกเราจะเปิดโอกาสให้เจ้าเดียวกับมันตัว ๆ…และถ้าเกิดเจ้ามีอันตรายอะไรขึ้นมาจริง ๆ พวกเราค่อยลงมือก็ยังไม่สาย”
“ด้วยวิธีนี้ ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อการหาประสบการณ์ของเจ้า”
ได้ยินคำพูดของเชวียไห่ชวน ต้วนหลิงเทียนก็คลี่ยิ้มแห้ง ๆ “พี่ไห่ชวน หากศัตรูที่ว่ามันพบเจอข้าอยู่กับพวกท่าน ต่อให้พวกท่านจะเปิดโอกาสให้มันสู้กับข้าตัว ๆ แต่ใครมันจะไปมีสมาธิสู้กับข้าเล่า กระทั่งไม่มีทางคิดฆ่าข้าแน่นอน”
“เพราะถ้าถึงตอนั้นนอย่าว่าแต่มันจะสู้กับข้าเลย ไม่พ้นมันต้องหาทางหนีถ่ายเดียวแน่”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
“ก็จริงของเจ้า”
เชวียไห่ชวนพอได้ยิน ก็นิ่งคิดไปครูหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวเสนอออกมาว่า “เช่นั้นนพวกเราจะไม่ร่วมเดินทางกับเจ้าอย่างเปิดเผยอีกต่อไป…หลังจากนี้พวกเราจะซ่อนตัว และลอบตามเจ้าไปลับ ๆ ดีหรือไม่ ?”
“และคนที่จะค้นพบการซุ่มซ่อนของพวกเราได้ ก็มีแต่ระดับอาวุโสปฐพีเท่านั้น…เพราะถ้าชนชั้นอาวุโสปฐพีมาเอง การซ่อนตัวของพวกเราก็เป็นเรื่องไร้ความหมาย”
ในสายตาของเชวียไห่ชวน ต้วนหลิงเทียนยังไม่น่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของตัวตนระดับอาวุโสปฐพีของนิกายมหาเอกะได้
หากคิดจะฆ่าอาวุโสปฐพีจริง ๆ อย่างไรก็ต้องมีมัน หรือตงฟางเหยียนเหนียนลงมือช่วยเหลือ
“ทาเช่นั้นนก็ดีเหมือนกัน”
ตงฟางเหยียนเหนียนพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะหันไปกล่าวกับเชวียไห่ชวน “ด้วยพลังฝีมือของเสี่ยวเทียนในตอนนี้ ข้าเชื่อว่าสมควรู้สกับอาวุโสฝ่ายในได้อย่างทัดเทียมเท่านั้น เรื่องเอาชนะได้ยังไม่แน่สักเท่าไหร่ สุดท้ายก็อาจต้องให้พวกเราลงมือ”
“อย่างไรก็ตาม พวกเราจะรอให้เสี่ยวเทียนเรมิเสียเปรียบก่อน ถึงค่อยลงมือ”
“อีกทั้งพวกเราต้องนัดแนะเสี่ยวเทียนให้ดีว่าพวกเราช่อนตัวอยู่ทางไหน เพราะในช่วงคับขัน หากเสี่ยวเทียนตกอยู่ในอันตรายก็จะได้ถอยมาทางพวกเรา และพวกเราก็จะช่วยเหลือได้ทันท่วงที่”
…
ตงฟางเหยียนเหนียนกับเชวียไห่ชวนหารือกัน 2 คนครูหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจทำตามว่า
สำหรับแผนดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนก็ไม่มีความคิดเห็นอะไร
เขาไม่ได้กังวลเรื่องที่เชวียไห่ชวนกับตงฟางเหยียนเหนียนจะแย่งแตมีรบกับเขาแม้แต่น้อย เพราะเชวียไห่ชวนกับตงฟางเหยียนเหนียนได้ตกลงกับเขาตั้งแต่ก่อนเข้าสนามรบจอมราชันเทพเรียบร้อยแล้ว ว่าแต้มรบจะถูกแบ่งเท่า ๆ กัน ขณะเดียวกันเขาก็จะแยกของตัวเองไว้ส่วนหนึ่งเพื่อใช้หนี้เชวียไห่ชวนด้วย
สำหรับตงฟางเหยียนเหนียนก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะไม่มีอะไรที่ต้องการและยังเสนอให้ต้วนหลิงเทียนนาแต้มรบส่วนของตงฟางเหยียนเหนียนไปใช้ได้เลย เพียงแค่ต้องหลอมโอสถระดับราชาขั้นสุดยอดบางอย่างให้เท่านั้น
สำหรับต้วนหลิงเทียนแล้ว เรื่องนี้ไม่มีปัญหาอะไรเลย
สำหรับเขา มันเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยด้วยซ้ำ
เพราะในปัจจุบัน นับประสาอะไรกับโอสถเทพระดับราชาขั้นสุดยอด กระทั่งโอสถเทพระดับจอมราชัน เขายังหลอมออกมาให้เป็นขั้นสุดยอดได้หลายขนาน!
หลังจากนั้น ฉากเรื่องราวกเสมือนต้วนหลิงเทียนกำลังเดินทางเพียงลาพังในสนามรบจอมราชันเทพ ตงฟางเหยียนเหนียนกับเชวียไห่ชวนได้ซ่อนตัวจนคล้ายไร้ตัวตนไปเลย
‘เจ้าซีเหม็นหลงเซี่ยงอะไรนั่น มันเจอจอมราชันเทพขั้นต่ำของนิกายมังกรสวรรค์ถึง 4 คนในเวลาเพียงแค่ 4 เดือน นับว่ามันโชคดีไม่น้อยจริง ๆ!’
พอนึกถึงเรื่องที่ซีเหม็นหลงเซี่ยงสามารถฆ่าจอมราชันเทพขั้นต่ำของนิกายมังกรสวรรค์ถึง 4 คนได้ในเวลา 4 เดือน ไม่เพียงแต่ต้วนหลิงเทียนจะรู้สึกว่าอีกฝ่ายมีพลังฝีมือไม่ใช้ชั่วเท่านั้น ยังรู้สึกว่าอีกฝ่ายโชคดีมากจริง ๆ เพราะอีกฝ่ายพบเจอคนเฉลื่ยนแล้วเดือนละคนเลยที่เดียว
ต้องทราบด้วยว่าการเข้าสู่สนามรบจอมราชันเทพครั้งแรกของต้วนหลิงเทียน เขาถึงกับเคว้งคว้างล่องลอยกลางหาวอยู่นาน 2 เดือนโดยไม่แม้แต่จะเห็นเงาผู้ใด จนในที่สุดก็พบจอมราชันเทพของนิกายมหาเอกะทั้ง 2 ก่อนจะถอดใจ
และโชคดีที่จอมราชันเทพของนิกายมหาเอกะที่เขาพบเจอเปืนจอมราชันเทพขั้นกลางทั้งคู่!
จอมราชันเทพขั้นกลาง 2 คน ก็มีมูลค่าถึง 4,000 แต้มรบ!
ทว่าจอมราชันเทพขั้นต่ำทั้ง 4 ที่ซีเหม็นหลงเซี่ยงฆ่าได้ มีมูลค่าแค่ 800 แต้มรบเท่านั้น…
ในแง่การเก็บเกี่ยวแต้มรบแล้ว การเก็บเกี่ยวข้องซีเหม็นหลงเซี่ยง นั้นน้อยกว่าต้วนหลิงเทียนมาก ทั้ง ๆ ที่ใช้เวลาไปถึง 4 เดือน
‘แต่…สุดท้ายทุกคนก็เชือกันโดยที่ไม่มีใครเอะใจเลย หรือว่าทั้ง 2 คนั่นนมันสู้กันจนใกล้ตายจริง ๆ’
ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ไม่พอใจอะไร แต่เขาก็อดงงไม่ได้ที่ทุกคนด้านนอกกกล้วนคิดว่าเขาโชคดีกันหมด
คนอื่น ๆ ไม่ฉุกคิดกันบ้างหรือว่าต่อให้อาวุโสฝ่ายในทั้ง 2 ของนิกายมหาเอกะจะมีความแค้นที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกเดียวกันได้จริง ๆ แต่พวกมันจะมาสู้กันจนต้องตายไปข้างในสนามรบจอมราชันเทพจริง ๆ ?
ต้องทราบด้วยว่าภายในสนามรบจอมราชันเทพแห่งนี้ มโอกาสที่พวกมันจะพบเจอจอมราชันเทพจากินกายมังกรสวรรค์ได้ตลอดเวลา
หากพวกมันคิดจะฆ่ากันให้ตายไปข้างจริง ๆ ไปเลือกเข่นฆ่ากันด้านนอกกกบนสังเวียนี้เป็นตายของนิกายมหาเอกะไม่ดีกว่าหรือ ? ถ้าไม่ทำแบบนั้นก็แค่ไปดักรอให้อีกฝ่ายออกนอกินกายแล้วฉวยโอกาสลงมือฆ่าให้ตายก็ยังได้
กลัวอีกฝ่ายเอาไปฟ้อง ?
คิดวาจานค่ายกลปิดกั้นการสื่อสารใช้การไม่ได้ ?
‘บางทีอาจเป็นเพราะอุปาทานหมู่…คนส่วนใหญ่พากันคิดไปว่าข้าที่พึ่งทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันเทพขั้นต่ำ ไม่มีทางอาศัยพลังฝีมือส่วนตัวฆ่าอาวุโสฝ่ายในได้เลย’
พอคิดว่ากระทั่งเชวียไห่ชวนกับตงฟางเหยียนเหนียนก็เชื่อเรื่องปั้นแต่งของเขา ต้วนหลิงเทียนก็พอได้ระบายลมหายใจออกมาด้วยความโล่งก
อันที่จริงเขาก็ลองคิดในมุมคนอื่นดูแล้ว เขาก็พบว่าเขาอาจจะเชื่อไปแบบนั้นจริง ๆ
…
พริบตาเดียว เวลาก็ล่วงเลยไปแล้ว 1 เดือนหลังจากที่เขาเข้าสู่สนามรบจอมราชันเทพ
ตลอดเดือนที่ผ่านมา เขาไม่เห็นแม้แต่เงาของใครสักคน
ไม่เพียงแต่ไม่พบเจอคนของนิกายมหาเอกะเท่านั้น กระทั่งคนของนิกายมังกรสวรรค์เองก็ไม่มี
‘คิดอย่างไร ก็พูดได้ว่าซีเหม็นหลงเซี่ยงนั่นมันโชคดีจริง ๆ’
ต้วนหลิงเทียนบอบกล่าวในใจ
บางทีอาจเป็นเพราะต้วนหลิงเทียนไม่ได้หวังไว้ว่าจะพบเจอใคร ก็เข้าทานอง ‘ย่าจนรองเท้าสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลาเลย’ เพราะหลังผ่านไปอีก 3 วันต้วนหลิงเทียนก็เงาร่างหนึ่งไว ๆ เบื้องหน้า
เพียงแค่ระยะทางมันห่างไกลเกินไป เขาจึงบอกไม่ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครกันแน่
และอีกฝ่ายหนึ่งพอพบว่าเขากำลังมุ่งหน้าไปหา มันก็ค้นพบความเคลื่อนไหวของเขาทันที่
ซัว!
ไร้ซึ่งความลังเลใด ๆ ต้วนหลิงเทียนใช้การเคลื่อนย้ายข้ามมิติ หายตัวไปปรากฏเบื้องหน้าอีกฝ่ายทันที่
เขาไม่มีอะไรให้กังวล
หากอีกฝ่ายเป็นคนของนิกายมังกรสวรรค์ ก็ทักทายกันสักคา ก่อนจะแยกย้ายกันไปทางใครทางมัน
และถ้าอีกฝ่ายมีาจากินกายมหาเอกะ ไม่ว่าพลังฝีมือของอีกฝ่ายจะสูงเพียงไหน ด้านหลังเขาก็ยังมีอาวุโสมังกรขาวลอบติดตามมาถึง 2 คน
ในสนามรบจอมราชันเทพแห่งนี้อาวุโสปฐพีของนิกายมหาเอกะ กับอาวุโสมังกรขาวของนิกายมังกรสวรรค์ คือสัญลักษณ์แทนตัวตนที่ทรงพลังที่สุดแล้ว
บางทีอีกฝ่ายอาจมีปฏิกิริยาตอบสนองช้า หรือตั้งใจจะรอพบต้วนหลิงเทียนแต่แรก เช่นั้นนแม้ต้วนหลิงเทียนจะวูบร่างมาปรากฏไม่ไกล มันก็ไม่ได้ส่อแววว่าจะหลบหนีแม้แต่น้อย
ในเวลาเดียวกัน ต้วนหลิงเทียนก็เห็นหน้าอีกฝ่ายชัดเจน เป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง
ทว่าหลังต้วนหลิงเทียนเห็นหน้าค่าตาอีกฝ่ายชัดเจน เขาก็ไม่ได้สนใจมองสิ่งใดอื่น แต่จ้องมองไปยังบริเวณของอีกฝ่ายก่อนทันที่เพราะมองไปปราดเดียวเขาก็สังเกตเห็นแล้วว่า ที่เอวของอีกฝ่ายได้ห้อยแขวนป้ายประจำตัว ซึ่งมีรูปลักษณ์แตกต่างจากป้ายประจำตัวของเขาอย่างสิ้นเชิง
‘เป็นคนของนิกายมหาเอกะ’
สองตาต้วนหลิงเทียนฉายชัดถึงความยินดี
และอีกฝ่ายก็สังเกตเห็นป้ายประจำตัวที่ห้อยแขวนไว้บริเวณเอวของต้วนหลิงเทียนก่อนใดอื่นเช่นกัน หลังจากลูกตามนหรี่ลงเล็กน้อย มันก็พบเห็นอาการยินดีของต้วนหลิงเทียนชัดเจน สิ่งนี้ทำให้สีหนามินเป็ลื่ยนไปทันที่
ในสนามรบจอมราชันเทพ ไม่ว่าใครก็สามารถระบุได้ว่าอีกฝ่ายใช้พวกเดียวกัน หรือไม่ผ่านป้ายประจำตัว
มีก็แต่ตัวตนของอีกฝ่ายเท่านั้น ที่ไม่อาจทราบได้ทันที่ว่าเป็นใคร
เว้นเสียแต่อีกฝ่ายจะมีชื่อเสียงโด่งดังมากพอและเคยพบเจอกระทั่งเห็นรูปมาก่อนถึงจะจาได้
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้หลังมันพบว่าอีกฝ่ายนั้น พอเห็นว่าตัวมันเป็นคนของนิกายมหาเอกะ สีหน้าแววตาก็ฉายชัดถึงความยินดี
ออกมาชัดเจน สิ่งนี้ได้บอกมันเรื่องหนึ่ง…อีกฝ่ายมีความมั่นใจในตัวเองสูง!
‘เจ้านี่…มันเป็นอาวุโสมังกรขาวของนิกายมังกรสวรรค์รึ!?’
‘แต่อาวุโสมังกรขาวของนิกายมังกรสวรรค์ ข้าก็ได้ทำการบ้านมาดีแล้ว ไม่ว่าจะเสื้อผ้าที่แต่ละคนชอบใส่ รวมถึงรูปร่างหน้าตาของแต่ละคนข้าก็ศึกษามาหมดสิ้น…แต่ทั้งหมดที่ข้าศึกษามา ไม่มีใครมีลักษณะเหมือนเจ้านี่สักคน’
เนื่องจากในสนามรบจอมราชันเทพมีอันตรายทุกแห่งหน ไม่ว่าจะจอมราชันเทพของนิกายมังกรสวรรค์หรือินกายมหาเอกะก็ดี หากไม่ใช้ตัวตนระดับอาวุโสมังกรขาวและอาวุโสปฐพีรวมถึงผู้ที่มั่นใจในพลังฝีมือของตัวเองมีาก ๆ ไม่มีใครไม่ทำการบ้านและพยายามหาข้อมูลตัวตนระดับอาวุโสมังกรขาวกับอาวุโสปฐพีมาก่อน
‘เจ้านี่ ไม่น่าจะใช้อาวุโสมังกรขาวของนิกายมังกรสวรรค์ !’
‘หากมันเป็นแค่อาวุโสฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์ …ก็ไม่ใช้ว่าข้าจะสู้มันไม่ได้!’
พอคิดถึงจุดนี้ ชายวัยกลางคนก็ได้ตัดสินใจเสร็จสรรพว่าจะทำอย่างไร!
มันเองก็เป็นอาวุโสฝ่ายในของนิกายมหาเอกะคนหนึ่ง หาไม่แล้วคงไม่กล้าเหินบินกลางหาวจนทำให้ตกเป็น ‘เป้าหมาย’ ของผู้อื่นได้ง่าย ๆ เช่นนี้
ปงงง!!
เสียงสนั่นลั่นดังขึ้น ชายวัยกลางคนเลือกจะชิงลงมือจู่โจมออกไปในฉับพลัน ดาบยาวที่ไม่ทราบเรียกมากระชับถือไว้ในมือตั้งแต่เมื่อไหร่ เปล่งแสงทองสว่างจ้า ตัวัดฟนออกไประรัว เส้นแสงสีทองวับวาบคล้ายบุปผาผลิบานกลางหาว ก่อเกิดเป็นข่ายดาบสีทองหนึ่ง เข่นฆ่าไปทางต้วนหลิงเทียน!
ขณะเดียวกันกับที่ตวัดดาบซัดกระบวนท่าแล้วเสร็จ ร่างมันก็ล่าถอยออกไปเร็วไว
มันคิดฉีกระยะห่างเพื่อสังเกตุท่าที่ว่าอีกฝ่ายใช้อาวุโสมังกรขาวที่มันไม่รู้จัก หรือไม่ เพราะสุดท้ายในข้อมูลของอาวุโสมังกรขาวที่มันหามาก็ไม่ปรากฏตัวตนลักษณะเดียวับอีกฝ่ายอยู่เลย
เช่นั้นนแล้วอีกฝ่ายเป็นอาวุโสมังกรขาวของนิกายมังกรสวรรค์จริง มันก็จะฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายเสียท่าเพราะการชิงจู่โจมก่อนของมันเพื่อลงมือซ้ำให้ตาย หรือถ้าอีกฝ่ายมีพลังกล้าแข็งต้านรับกระบวนท่าได้อย่างไร้เรื่องราว มันที่ฉีกระยะออกมาแล้วก็จะได้หลบหนี้ไปทันที่