ตอนที่ 5-2 ปลาน่าตัวเดียวเหม็นทั้งข้อง (2)

STARGATE ปริศนาประตูแห่งดารา

ตอนที่ 5 ปลาน่าตัวเดียวเหม็นทั้งข้อง (2)

หลี่ฮ่าวพยักหน้า แต่สุดท้ายก็ยังกล่าวทิ้งท้าย “หัวหน้าครับ ผมเคยตรวจสอบเวลาในการเกิดคดีไฟคลอก คดีจะเกิดขึ้นในวันที่ฝนตกทุกครั้ง เมืองหยินใกล้จะเข้าหน้าฝนแล้ว หนำซ้ำระยะห่างจากคดีไฟคลอกครั้งก่อนก็ใกล้จะครบปีแล้ว จากระยะเวลาของการเกิดคดีที่ผ่านมาผมสงสัยว่าหากเป็นคดีฆาตกรรมโดยฝีมือมนุษย์ก็อาจจะเกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้นี้แล้ว!”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หวังเจี๋ยจึงก้มหน้าลงจดบันทึกเอาไว้อย่างตั้งใจ

เขาเพิ่งจะรับคดีนี้มาดูแล ยังไม่ทันได้ทำความเข้าใจโดยละเอียดย่อมไม่เข้าใจลึกซึ้งเหมือนหลี่ฮ่าว

เมื่อได้ยินเช่นนี้หวังเจี๋ยก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขาพยักหน้า “เดี๋ยวผมจะแจ้งกับทางหน่วยปฏิบัติการ คุณเองก็ระวังตัวหน่อย ตอนไปตรวจสอบบ้านจางหย่วนก็ระวังๆ หน่อย จะให้ส่งคนไปช่วยไหม?”

“ไม่ต้องครับ!”

หลี่ฮ่าวส่ายหน้า ไม่ใช่ว่าตัวเองรนหาที่ตาย เพียงแต่ต่อให้เจอเงาโลหิตคนทั่วไปก็มองไม่เห็นอยู่ดี เอาคนไปด้วยก็ไม่ได้ช่วยอะไร

หากไม่เจอเงาโลหิต ตนเองพกปืนและยังเตรียมแผนสำรองเอาไว้เล็กน้อย ก็คงจะไม่มีปัญหาอะไรมากมาย

ยิ่งไปกว่านั้นที่ห้องเก็บแฟ้มคดี คนส่วนมากก็เป็นหัวหน้าเขา หากเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ ใครจะปกป้องป้องใครก็ยังเป็นปัญหา

“ถ้าอย่างนั้นก็ระวังตัวหน่อยแล้วกัน เขาตายไปแล้วหนึ่งปี ผมคิดว่าคงไม่มีอันตรายอะไร”

หวังเจี๋ยโบกมือเพื่อบอกให้หลี่ฮ่าวออกไป

หลี่ฮ่าวออกจากห้องทำงานอีกฝ่ายรวดเร็ว แล้วถอนหายใจน้อยๆ

หวังเจี๋ยค่อนข้างดูแลเขาดีทีเดียว

แล้วเขาจึงตรงไปยังคลังอาวุธโดยมีใบอนุญาตของหวังเจี๋ยในมือ ทำให้หลี่ฮ่าวได้ปืนสั้นสีดำมะเมื่อมหนักอึ้งกระบอกหนึ่งมาในครอบครอง

ปืน VORTEXรุ่นที่สามซึ่งมีระยะยิงห้าสิบเมตร หากเกินห้าสิบเมตรอาจเกิดการคลาดเคลื่อน

ว่ากันว่าในเมืองใหญ่ๆ เริ่มขาย ปืน VORTEX รุ่นที่สี่แล้ว ปืนรุ่นนี้มีระยะยิงไกลถึงร้อยเมตร แน่นอนว่าเมืองหยินไม่ได้ถือเป็นเมืองใหญ่ ดังนั้นปืนรุ่นดังกล่าวจึงยังไม่แพร่มาถึงเมืองแห่งนี้ ตอนนี้รวมไปถึงหน่วยปฏิบัติการชั้นแนวหน้าต่างก็ใช้ ปืน VORTEX รุ่นที่สามกันทั้งสิ้น

บรรจุกระสุนได้สิบแปดลูก แต่ละครั้งยิงติดต่อกันได้หกลูก ถือได้ว่าเป็นอาวุธที่ทรงพลังมากทีเดียว

ก่อนหลี่ฮ่าวจะเข้าร่วมกองตรวจการณ์ ถึงแม้ว่าจะเคยทำงานในห้องเก็บแฟ้มคดี แต่เขาก็เคยอบรมมาก่อนหนึ่งเดือน ซึ่งการยิงปืนถือเป็นหนึ่งในเนื้อหาที่ต้องเรียนรู้ ทำให้ไม่ถึงขนาดที่ว่าถือได้แต่ใช้ไม่เป็น

เพียงแต่ปกติอยู่ที่ห้องเก็บแฟ้มคดีจึงไม่ได้ใช้ปืนนานแล้ว

เมื่อพกอาวุธเขาจึงเริ่มมีความมั่นใจเพิ่มขึ้น

เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะพอทำร้ายเงาโลหิตได้บ้างหรือไม่ ของพรรค์นั้นที่คนอื่นมองไม่เห็น มีแต่ตนเองมองเห็น หากว่ายิงปืนใส่อีกฝ่าย ไม่รู้ว่าจะได้ผลหรือไม่?

“จากคำพูดของหัวหน้าหวัง ความตั้งใจในตอนนี้ของหน่วยปฏิบัติการ เกรงว่าคงไม่ค่อยอยากจะให้ผู้พิทักษ์รัตติกาลยื่นมือเข้ามายุ่ง แต่เวลาก็กระชั้นชิดมากแล้ว ถ้าผู้พิทักษ์รัตติกาลไม่ยอมเข้ามายุ่งพวกเขาจะรับมือเงาโลหิตได้เหรอ?”

‘ถ้าหากตอนนี้ไปบอกพวกเขาว่าเห็นเงาโลหิตล่ะ’

และแล้วความคิดนี้ก็วาบเข้ามาในหัวเขา

แต่เขาก็อดคิดถึงคดีก่อนหน้านี้ไม่ได้ คนบางส่วนที่เห็นเงาโลหิตก็ไม่มีใครได้เรื่องได้ราวอะไร

ตายไปแล้วหรืออย่างไร?

คดีแบบนี้ผู้พิทักษ์รัตติกาลน่าจะเข้ามาจัดการดูแลไปแล้ว แต่ผลคือคนพวกนั้นที่บอกว่าเห็นเงาโลหิตกลับหายสาบสูญไปหรือไม่ก็ตาย

หลี่ฮ่าวไม่รู้ว่าคนพวกนี้ตายไปหมดแล้วหรือว่าโดนดึงตัวให้เข้าไปเป็นผู้พิทักษ์รัตติกาลกันแน่

ความไม่ชัดเจนนี้ทำหลี่ฮ่าวลังเล

ถ้าหากว่าผู้พิทักษ์รัตติกาลสามารถจัดการเงาโลหิตได้และยินดีจะจัดการดูแล เช่นนั้นแล้วการที่เขาบอกว่าตนเองมองเห็นเงาโลหิตก็น่าจะมีประโยชน์อะไรอยู่บ้าง กลัวก็แต่ระหว่างผู้พิทักษ์รัตติกาลและเงาโลหิตจะมีอะไรในกอไผ่กันหรือเปล่า?

หากว่าตนเองแพร่งพรายออกไป ผู้พิทักษ์รัตติกาลจะจัดการเงาโลหิตหรือว่าจะจัดการตนเองกันแน่?

‘บางทีพลังลึกลับของผู้พิทักษ์รัตติกาลอาจจะเป็นแบบนี้ เงาโลหิตอาจจะใช่ด้วย พวกเขาสองคนคือพวกเดียวกันหรือศัตรูกันนะ?’

หลี่ฮ่าวยังไม่สามารถตัดสินได้ในตอนนี้เพราะข้อมูลที่มีในมือนั้นยังไม่มากพอจะแยกแยะได้

หากว่าสุดท้ายแล้วทั้งสองฝ่ายเป็นพวกเดียวกัน แล้วคนที่รู้เรื่องเงาโลหิตโดนฆ่าปิดปากขึ้นมาเป็นผลลัพธ์สุดท้ายหลี่ฮ่าวกังวลใจที่สุด

ปวดหัว!

ในวินาทีนี้หลี่ฮ่าวสับสนลังเลใจอย่างมาก

เขารอคอยให้ผู้พิทักษ์รัตติกาลยื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องเงาโลหิต เพื่อจะได้แก้แค้นให้จางหย่วน แก้แค้นให้พ่อกับแม่ แต่ก็กลัวผลลัพธ์สุดท้ายที่จะเกิดขึ้นดันกลับกัน กลายเป็นแฉตัวเองจนโดนผู้พิทักษ์รัตติกาลฆ่าปิดปากแทน

‘รออีกสักหน่อยแล้วกัน’

หลี่ฮ่าวรู้ว่าตนเองกำลังเสี่ยงมากทีเดียว แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นเขาก็ยอมจะรอต่อ เพื่อรอดูผลลัพธ์และท่าทีของหน่วยปฏิบัติการ

ตัวเองในตอนนี้แค่เจอความผิดปกติในคดีไฟคลอก เชื่อว่าหากคนในหน่วยปฏิบัติการตั้งใจสืบก็ต้องเจออย่างรวดเร็ว

ในตอนนั้นหากว่าหน่วยปฏิบัติการยังพอมีคนฉลาด หลี่ฮ่าวคิดว่าเป็นไปได้อย่างมากที่หน่วยปฏิบัติการจะติดต่อกับพวกผู้พิทักษ์รัตติกาลเอาไว้ล่วงหน้า

และเมื่อครู่นี้เองหลี่ฮ่าวก็เพิ่งจะแพร่งพรายไปว่าคดีไฟคลอกอาจจะเกิดขึ้นในเร็วๆ เหตุนี้ก็เพื่อให้หน่วยปฏิบัติการรู้สึกร้อนรน ถ้าหากว่าจะล่อผู้พิทักษ์รัตติกาลโดยใช้หน่วยปฏิบัติการล่ะก็ หลี่ฮ่าวไม่จำเป็นต้องบอกคนอื่นเรื่องที่ตนเองสามารถมองเห็นเงาโลหิตหรอก

“แล้วอีกอย่างอาจารย์เองก็ใกล้จะนำคณะออกสำรวจแล้ว หากเป็นแบบนี้ผู้พิทักษ์รัตติกาลก็ต้องมีเอี่ยวด้วยอยู่แล้ว ไม่ว่าเมืองหยินจะมีผู้พิทักษ์รัตติกาลอยู่หรือไม่ หลายวันนี้ก็คงจะต้องมีผู้พิทักษ์รัตติกาลรีบเดินทางมาที่นี่อยู่ดี”

พอคิดทบทวนเรื่องนี้อีกครั้งและพอจะยืนยันได้ว่าผู้พิทักษ์รัตติกาลมีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะต้องออกหน้า หลี่ฮ่าวจึงไม่คิดจะบอกเรื่องที่ตนเองเห็นเงาโลหิตในตอนนี้

อีกฝ่ายเป็นพวกเดียวกันหรือไม่ อาจจะได้รู้ในเร็วๆ นี้

ก่อนจะเข้าหน้าฝน ถ้าหากว่าผู้พิทักษ์รัตติกาลยังไม่ปรากฏตัว และไม่มาตามหาเขาเพื่อพูดคุยและขอข้อมูลล่ะก็ เช่นนั้นแล้วเขาคงต้องหาวิธีบอกเรื่องที่ตนเองมองเห็นเงาโลหิตเสียแล้ว

เมื่อเดินออกจากกองตรวจการณ์

พระอาทิตย์เพิ่งลับขอบฟ้า ท้องฟ้ายังออกสีแดงน้อยๆ เกิดเป็นท้องฟ้าสีชมพูอมส้ม

คนที่เดินไปมาด้านนอกไม่มากนัก อากาศยังคงร้อนอ้าว กระทั่งช่วงสองสามทุ่มอากาศก็ยังคงร้อนอบอ้าวอยู่เลย คนที่ออกมาเดินด้านนอกจึงค่อนข้างบางตา

บ้านของหลี่ฮ่าวถือว่าไม่ห่างจากกองตรวจการณ์มากนัก น่าจะห่างราวเจ็ดแปดกิโลเมตรเท่านั้น

เขาหยิบจักรยานคู่ใจออกมาแล้วขึ้นถีบจักรยาน เขาขี่จักรยานมาทำงานตลอดปีที่ผ่านมา

หนึ่งก็เพื่อออกกำลังกาย สองก็เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายบางอย่างด้วย

สถานที่คนพลุกพล่านทำให้ยากต่อการเห็นอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้

หลังจากที่จางหย่วนตาย หลี่ฮ่าวก็ระวังตัวเป็นอย่างมาก

พอขึ้นบนรถจักรยานหลี่ฮ่าวทำเหมือนไม่ใส่ใจ มองไปรอบๆ เหมือนกำลังดูถนน ดูวิวทิวทัศน์ แต่ที่จริงแล้วเขากำลังพยายามดูว่ามีคนสะกดรอยตามตนเองมาหรือไม่

โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนี้เมื่อเขาแน่ใจว่าเป้าหมายคนต่อไปของเงาโลหิตคือตนเอง

เวลานี้หลี่ฮ่าวกำลังครุ่นคิดว่าเงาโลหิตรู้ตำแหน่งที่อยู่ของพวกเขาได้อย่างไร?

…………………………………………………………….