ตอนที่ 11 หลิวหลงผู้บ้าคลั่ง (2)
“ไม่รู้สิ……”
“เพราะจางหย่วน”
“…..”
หลี่ฮ่าวขมวดคิ้ว ‘หมายความว่าไง?’
น้ำเสียงหลิวหลงเรียบนิ่งเอ่ยขึ้นว่า “ผมเป็นหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการมากว่าสิบปี ย่อมรักที่แห่งนี้มากอยู่แล้ว! ก็เหมือนคุณกับจางหย่วน ผมรู้สึกต่อหน่วยปฏิบัติการเหมือนครอบครัว คงทำใจไม่ได้ที่จะเห็นครอบครัวแห่งนี้ตายจากไป!”
“ผมเองก็อยากช่วยคุณมากจริงๆ แต่สุดท้ายก็ค้นพบว่าคนที่อยู่ในเหตุการณ์มักมองไม่เห็นความจริง ผมไม่สามารถรับมือและจัดการกับความรู้สึกนี้ด้วยสติสัมปชัญญะของตัวเองได้! ผมเข้าอกเข้าใจทุกคนเป็นอย่างดี และก็เพราะความเข้าอกเข้าใจทำให้ผมคิดว่าทุกคนในหน่วยปฏิบัติการจะไม่มีใครทำให้ผมผิดหวังแน่นอน!”
“ผมไม่อยากสงสัยใคร ไม่อยากจะเชื่อใจใคร ตอนนั้นเพื่อนที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมากลับทรยศต่อความตั้งใจแรกของพวกเราเพียงเพราะเงินทองและของนอกกายพวกนั้น!”
“วินาทีที่ทำงานในกองตรวจการณ์ วินาทีที่เข้ามาทำงานในหน่วยปฏิบัติการ พวกเราล้วนให้คำมั่นสัญญาว่าเราจะผดุงความยุติธรรมด้วยกฎหมาย! ปราบปรามอยุติธรรม! ไม่เกรงกลัวอำนาจ! ไม่หวั่นที่จะเสียสละ!”
“จงอยู่กับความยุติธรรม ไม่เกรงกลัวและไม่ยอมแพ้กับอะไรทั้งสิ้น!”
หลิวหลงเอ่ยด้วยท่าทีจริงจังมาก แต่หลังจากนั้นกลับแสดงสีหน้าเย้ยหยันและเอ่ยแดกดันว่า “คำมั่นสัญญาในตอนนั้นดูเหมือนน้อยคนนักจะยังคงรักษามันไว้ได้ตลอด น้อยนักที่จะมีคนภักดีต่อคำสัญญานั้น!”
หลี่ฮ่าวฟังอย่างเงียบๆ
เขาไม่สนิทกับคนๆ นี้และอาจเป็นเพราะความไม่สนิทจึงทำให้เขากล้าที่พูดแบบนี้กับตน
หลิวหลงไม่ได้พูดเรื่องนั้นต่อแต่เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “คดีของจางหย่วนไม่ธรรมดา! อาจจะมีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติอยู่เบื้องหลังด้วย!”
หลี่ฮ่าวพยักหน้า “ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน! เพราะคดีไฟคลอกทั้งหกคดีดูเป็นธรรมชาติเกินไป กระทั่งผมเห็นกับตาตัวเองด้วย ดังนั้นคนทั่วไปไม่สามารถทำแบบนั้นได้แน่นอน”
“ในเมื่อเป็นแบบนั้นคุณยังกล้าสืบคดีนี้ต่ออีกเหรอ?” จู่ๆ หลิวหลงก็หัวเราะขึ้นมา นี่คงเป็นเสียงหัวเราะแรกในค่ำคืนนี้ของเขาทว่ากลับดูหลอนแปลกๆ
หลี่ฮ่าวไม่รู้ว่า เขาจะเกี่ยวข้องกับเงาโลหิตหรือเปล่า แต่ ณ ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกและไม่มีวิธีการอื่น
“จางหย่วนเป็นเพื่อนคนเดียวของผม!”
“ยอมสละชีวิตเพื่อเพื่อนอย่างนั้นเหรอ?”
หลิวหลงเอ่ยเสียงเรียบ “ตอนหนุ่มๆ ผมเองก็คึกคะนองไม่แพ้กัน อาจเป็นเพราะอายุมากขึ้นความคิดเลยไม่เหมือนเดิม!”
จากนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า “ไม่สำคัญหรอก! แต่ตอนนี้คุณตกอยู่ในอันตราย อย่างแรกคุณเข้ามามีส่วนเอี่ยวในคดีไฟคลอก อย่างที่สองคุณเป็นคนเจอเบาะแสคดีนี้ด้วยเลยทำให้คดีนี้ตกอยู่ในสายตาของหน่วยปฏิบัติการ อย่างที่สามการที่คุณโผล่มาที่นี่เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น นี่ก็คือหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้คุณตกอยู่ในอันตราย
“อย่าคาดหวังว่าศาสตราจารย์หยวนจะช่วยอะไรคุณได้มาก คนเราต้องรู้จักพึ่งตัวเอง เพราะสุดท้ายการพึ่งพาคนอื่นมันเชื่อถืออะไรไม่ได้หรอกนะ!”
“ศาตราจารย์หยวนเป็นแค่คนธรรมดา ผู้พิทักษ์รัตติกาลอาจให้เกียรติเขาหรือไม่ก็ได้ แต่คุณอย่าคิดว่าขอแค่เกี่ยวพันกับผู้มีพลังเหนือธรรมชาติแล้ว ผู้พิทักษ์รัตติกาลจะยื่นมือเข้ามาช่วย”
“สำหรับผู้พิทักษ์รัตติกาลแล้วจะนับประสาอะไรกับคนตายแค่หกคน?”
หลิวหลงส่ายศีรษะ “ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่สนใจคนที่ตายหรอกแต่จำนวนผู้พิทักษ์รัตติกาลมีไม่มาก อีกทั้งยังกระจัดกระจายตามแต่ละพื้นที่! ผู้พิทักษ์รัตติกาลในเมืองหยินมีน้อยมาก อีกอย่างต่างคนต่างก็ทำแค่หน้าที่ของตนเอง นอกจากว่าจะมีคดีร้ายแรงจริง ๆผู้พิทักษ์รัตติกาลถึงจะเข้ามาแทรกแซง มิเช่นนั้นคนตายแค่ไม่กี่คนอีกทั้งยังเกี่ยวพันกับผู้มีพลังเหนือธรรมชาติเช่นนี้ ผู้พิทักษ์รัตติกาลไม่มีความสามารถมากพอที่จะรับมือกับมันหรอก”
นี่เป็นครั้งแรกที่หลี่ฮ่าวได้ฟังคนพูดถึงผู้พิทักษ์รัตติกาลอย่างจริงจัง
หลี่ฮ่าวควบคุมความอยากรู้อยากเห็นของตนไม่ไหวอีกต่อไป เขาถามเสียงทุ้มว่า “จำนวนผู้พิทักษ์รัตติกาลมีไม่มากเหรอ?”
“ใช่!”
หลิวหลงพยักหน้าเอ่ย “มีไม่มาก ความจริงแล้วคนที่ต้องดูแลความสงบส่วนใหญ่ก็คือคนทั่วไปในกองตรวจการณ์นั้นแหละ! ยกเว้นแต่ว่าเหตุการณ์นั้นจะร้ายแรงมากจริงๆ ผู้พิทักษ์รัตติกาลถึงจะเข้ามาแทรกแซง อีกอย่างไม่ใช่ทุกคนที่มีพลังเหนือธรรมชาติจะเป็นผู้พิทักษ์รัตติกาลได้ เพียงแต่ว่าผู้พิทักษ์รัตติกาลเป็นองค์กรที่มีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติค่อนข้างมากเท่านั้นเอง”
หลี่ฮ่าวครุ่นคิดสักพักแล้วเอ่ยถาม “หัวหน้าครับ ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติส่วนใหญ่มีมาตั้งแต่กำเนิดหรือว่าเพิ่งมีในภายหลังครับ?”
“มีหมด!”
หลิวหลงพูดหยอกเย้าว่า “คุณก็อยากสัมผัสพลังแบบนั้นเหรอ?”
“เปล่า”
“โกหก!”
หลิวหลงเอ่ยอย่างระอา “ไม่ว่าผู้ใดที่ได้ยินเรื่องพลังเหนือธรรมชาติเป็นครั้งแรกย่อมโหยหามันทั้งนั้น เพราะคนเหล่านั้นไม่รู้ถึงความรุนแรงและความลี้ลับของมัน พวกเขารู้เพียงว่าพลังเหนือธรรมชาติวิเศามากเพราะทำได้ทุกอย่าง! แต่เมื่อถลำลึกลงไปแล้วถึงจะเริ่มเข้าใจถึงอันตรายที่แฝงอยู่จนอาจนึกเสียใจในภายหลังและคิดว่าไม่น่าโหยหามันแต่แรกเลย”
หลี่ฮ่าวพยักหน้าเห็นด้วยกับเขา
ทุกคนที่ได้ยินเรื่องนี้ล้วนโหยหาพลังวิเศษนี้จริง ๆแหละ แม้กระทั่งตัวเขาเองก็ยังโหยหามันเลย
“แต่หากคุณพุ่งหามันโดยไม่รู้อะไรเลย ไม่ต้องพูดถึงระดับความรุนแรงที่ซ่อนอยู่หรอก ลำพังแค่พุ่งเข้าใส่โดยไม่มีความรู้ใดๆ เกรงว่าคงรอดยากแล้วล่ะ!”
“พอประมาณ……”
หลิวหลงหัวเราะขึ้นอีกครั้ง “ผมค่อนข้างเข้าใจผู้พิทักษ์รัตติกาลพอสมควร ถ้าคุณเข้าร่วมหน่วยปฏิบัติการผมอาจแนะนำแนวทางบางอย่างให้คุณได้”
หลี่ฮ่าวเอ่ยอย่างแปลกใจ “ทุกอย่างที่หัวหน้าพูดมาก็เพื่ออยากให้ผมเข้าร่วมหน่วยปฏิบัติการอย่างนั้นเหรอครับ? ผมเพิ่งเป็นผู้ตรวจการณ์ระดับสามมาแค่ปีเดียวเอง ผมคิดว่าผมไม่มีคุณค่ามากพอที่หัวหน้าต้องมาพูดกับผมขนาดนั้น รวมถึงเรื่องขอบเขตพลังเหนือธรรมชาตินั้นด้วยเพียงเพราะต้องการให้ผมเข้าร่วมทีม”
“อย่าดูถูกตัวเอง”
แววตาของหลิวหลงแฝงนัยยะบางอย่าง “เหตุที่ผมอยากให้คุณเข้าร่วมไม่ได้มีแค่นั้นหรอก คุณคิดว่ามันเป็นกลยุทธ์ยืมมีดฆ่าคนก็ได้! ตัวอย่างเช่นศาสตราจารย์หยวนซั่วอาจารย์ที่พึ่งพิงชั้นดีของคุณ! เวลานี้หน่วยปฏิบัติการติดธรรมเนียมเดิมๆ จนยากจะแก้ไขได้ บางทีอาจต้องการแรงกระตุ้นภายนอกช่วยทำลายกำแพงเหล่านั้นทิ้งก็ได้”
“อาจารย์หยวนซั่วของคุณเหมือนเป็นคนธรรมดาแต่ก็ไม่เชิง ความจริงแล้วทั้งสามหน่วยงานอย่างเมืองหยิน กู่ย่วน และผู้พิทักษ์รัตติกาลล้วนพึ่งพิงเขาในการแก้ไขปัญหาบางเรื่อง”
หลี่ฮ่าวฟังเงียบๆ โดยไม่พูดแทรกอะไร
“นี่เป็นเหตุผลแรก ส่วนเหตุผลที่สองหน่วยปฏิบัติการต้องการคนเลือดใหม่ไฟแรง คุณมาจากกู่ย่วนย่อมเป็นตัวเลือกที่ดี!”
“เหตุผลที่สาม คุณเป็นคนซื่อสัตย์ นี่ถือเป็นจุดหนึ่งที่ผมให้ความสำคัญ อย่างน้อยก็วางใจที่จะส่งไม้ต่อให้คุณได้”
“เหตุผลที่สี่ ความคิดของคุณละเอียดรอบคอบมาก ฝึกฝนอีกสักหน่อยคุณอาจจะเป็นมือขวาของผมได้!”
หลี่ฮ่าวพยักหน้าอีกครั้ง
หลิวหลงเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะว่า “คุณคิดว่าไง? เหตุผลพวกนี้พอไหม?”
พอไหมอย่างนั้นเหรอ
ไม่พอหรอก!
หลี่ฮ่าวคิดว่าเหตุผลพวกนี้ดูเหมือนจะเพียงพอแต่ยังไม่พอ อย่างน้อยจะตกเป็นเป้าสายตาหลิวหลงตลอดเวลาเช่นนี้ไม่ได้ อีกอย่างเขาคุยกับตนเป็นการส่วนตัวนานขนาดนี้เพียงแค่อยากให้ตนเข้าร่วมทีมกับพวกเขาอย่างนั้นเหรอ
เขามองหลิวหลง แต่ตอนนี้หลิวหลงไม่ได้มองเขา
หัวหน้าร่างสูงใหญ่เอาแต่เงยหน้ามองท้องฟ้า อาจเพราะสัมผัสได้ถึงสายตาของหลี่ฮ่าวที่มองเขา จู่ๆ เลยหัวเราะแล้วเอ่ยขึ้นว่า “พ่อหนุ่มน้อย การรู้มากใช่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป ผมต้องการช่วยคุณไขคดี คุณร่วมมือกับผม แค่นี้ก็เพียงพอแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมต้องหาต้นเหตุด้วยล่ะ?”
หลี่ฮ่าวเงียบไปครู่หนึ่งถึงเอ่ยเสียงทุ้มว่า “ผมเองก็อยากแก้แค้น แต่…ผมอยากรู้ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ อย่างน้อยรู้อะไรบ้างก็ยังดีกว่าไม่รู้อะไรเลย! ทุกสิ่งที่หัวหน้าพูดผมเข้าใจและยอมรับได้ แต่ผมต้องการรู้ว่าความจริงคืออะไร ไม่ใช่กลายเป็นผู้เสียสละโดยที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรเลย!”
“วัยรุ่นก็นะ ช่างไม่รู้จักเก็บซ่อนอารมณ์บ้างเลย!”
หลิวหลงหัวเราะ “คุณเอาอะไรออกไปจากบ้านตระกูลจางใช่ไหม?”
“เปล่า ผมไม่เข้าใจว่าหัวหน้าหมายถึงอะไร”
“หึ!”
หลิวหลงแสยะยิ้ม “เคยมีคนยุ่งกับปล่องไฟนั้นมาก่อน หลี่ฮ่าว ผมเป็นผู้ตรวจการณ์มานานกว่ายี่สิบปี เป็นหัวหน้าทีมปฏิบัติการมาสิบปี คุณจะคิดว่าผมไร้ความสามารถก็ได้แต่คุณอย่าคิดว่าผมตาบอดสิ! ร่องรอยสดใหม่ขนาดนั้นจะให้คิดว่าเป็นฝีมือของคนอื่นได้อย่างไร?”หลี่ฮ่าวหนังศีรษะชาวาบแต่เขากลับยืนหยัดคำเดิมไม่เปลี่ยน “ผมไม่รู้ว่าหัวหน้าพูดถึงอะไร ผมไม่เคยทำอะไรทั้งนั้น”
“ช่างเถอะ!”
จู่ๆ หลิวหลงก็หัวเราะขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “แม้ว่าคุณจะเอาของวิเศษลี้ลับอะไรไปก็ช่างมันเถอะ ไม่เป็นไร! ผมไม่สนใจอยู่แล้ว!”
ฮะ?
หลี่ฮ่าวรู้สึกแปลกใจ เขาเดาใจและเดาท่าทีของนายหลิวหลงผู้นี้ไม่ออกเลยแม้แต่น้อย’
เขาคนนี้ต้องการสื่ออะไรกันแน่?
ตอนนี้เขาสับสนมึนงงไปหมดแล้ว
…………………………………………………..