ตอนที่ 27 เป็นฝ่ายลองเชิงก่อน (1)

STARGATE ปริศนาประตูแห่งดารา

ตอนที่ 27 เป็นฝ่ายลองเชิงก่อน (1)

ตึกฝั่งตรงข้าม ทีมล่าปีศาจได้ประกาศปฏิญาณตนที่ทั้งศักดิ์สิทธิ์และน่าขัน

ทว่าหลี่ฮ่าวไม่ได้รับรู้เรื่องเหล่านี้ด้วยเลย

หากรู้เกรงว่าคงรู้สึกขบขันไม่น้อย

ผู้พิทักษ์ความเที่ยงธรรม…ในสายตาเขานั้น นี่เป็นเพียงความต้องการของพวกหลิวหลงเพียงฝ่ายเดียว พวกเขาล้างสมองตัวเองกันมากกว่า คิดว่าตัวเองเป็นผู้พิทักษ์ของเมืองหยินไปแล้วจริงๆ

ยามที่ตะโกนคำปฏิญาณนั้นขึ้นมา สิ่งที่เขาคิดคงแค่ยกระดับคุณธรรมศีลธรรมของตัวเองสักหน่อยก็เท่านั้น

……

ภายในห้อง

หลี่ฮ่าวฝึกวิชาหมัดมวยเสร็จ เจ้าเสือดำก็ฝึกวิชาหมัดมวยของตัวเองเสร็จพอดี

หนึ่งคนหนึ่งสุนัข ตอนนี้ต่างรู้สึกเหนื่อยหอบไม่ต่างกัน

หลี่ฮ่าวนั่งหอบอยู่กับพื้น ทว่าเจ้าเสือดำเลือกหมอบลงกับพื้นเหมือนไม่เหลือแม้แต่แรงจะเงยหน้าขึ้นด้วยซ้ำ

เจ้าเสือดำรู้สึกเหมือนตัวเองโดนหลอก!

หลี่ฮ่าวนั่งพักครู่หนึ่งก็ฝืนทนความปวดเมื่อยทั้งตัวลุกขึ้นทำความสะอาดห้อง

กลิ่นเหม็นเกินจะรับไหวแล้ว!

อีกทั้งยังปะปนไปด้วยกลิ่นคาวเลือดจางๆ ด้วย

กลิ่นเหม็นเหงื่อบวกกับกลิ่นคาวเลือด รวมถึงกลิ่นหมาจากตัวเจ้าเสือดำทำให้ภายในห้องอันคับแคบในตอนนี้กลิ่นเหม็นเกินจะทนไหว

หลี่ฮ่าวรีบจัดการเก็บกวาดอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเงาโลหิต

เพื่อเลี่ยงไม่ให้เงาโลหิตเห็นอะไรเข้า

พอเก็บกวาดไปสักพัก กลิ่นในห้องก็ดีขึ้นมากโข

ต่อมาหลี่ฮ่าวก็นั่งลงบนโซฟาพลางมองของดีสามอย่างตรงหน้าอย่างเหม่อลอย

กระบี่สองเล่ม กับหินมีดหนึ่งเล่ม

ต่างเป็นวัตถุเหนือธรรมชาติทั้งสิ้น!

มนุษย์ธรรมดาหนึ่งคนครอบครองวัตถุเหนือธรรมชาติสามอย่าง แถมแต่ละอย่างไม่ใช่ของธรรมดาเลย หากคนแบบนี้ไม่ตายแล้วใครจะตาย

โทษฐานสร้างความอิจฉาริษยาแก่ผู้อื่น!

“อาจารย์…หลิวหลง…”

หลี่ฮ่าวพึมพำเรียกชื่อเบาๆ ทีหนึ่ง

อาจารย์เป็นคนดี อย่างน้อยก็ค่อนข้างดีกับตัวเขามาก ซึ่งจุดนี้เขารู้ดีอยู่แก่ใจ

ส่วนหลิวหลง…ความจริงเขาเองก็เป็นคนดีใช้ได้

ถ้าต่อจากนี้หมอนี่ไม่วางแผนช่วงชิงกระบี่กับมีดของตน ก็นับว่าหลิวหลงยังมีหัวใจที่ผดุงความเที่ยงธรรมอยู่บ้างจริงๆ

หลิวหลงรู้ว่าหลี่ฮ่าวมีของดี อาจจะไม่รู้ว่ามันสุดยอดขนาดไหน แต่เขารู้ว่าหลี่ฮ่าวมี กระทั่งรู้ด้วยว่าเป็นมีด บางทีนอกจากหยวนซั่วกับหลี่ฮ่าวแล้ว ฝ่ายเงาโลหิตอาจจะไม่รู้อะไรเลยก็ได้ หลิวหลงคงเป็นบุคคลที่สามที่รู้ว่ามีดอยู่ที่หลี่ฮ่าว

ส่วนหลิวหลงไม่เคยพูดถึงเรื่องพวกนี้ หมอนั่นทุ่มเทแรงกายแรงใจอยากตามฆ่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติอย่างเดียว เพื่อช่วงชิงพลังลี้ลับมาแล้วจะได้เลื่อนขั้น

ต้องรู้ไว้ว่าต่อให้เป็นวัตถุเหนือธรรมชาติที่แย่ขนาดไหน แต่สำหรับหลิวหลงแล้วมันเหมือนดั่งสมบัติล้ำค่า

เขาอาจจะใช้งานไม่ได้ แต่หากเอาสมบัติไปขอแลกพลังลี้ลับกับคนอื่น บางทีอาจไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร

หากหลิวหลงอยากเลื่อนขั้นเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติจริงๆ กระทั่งตกสู่หลุมพรางแห่งความมืดยอมหักหลังใช้หลี่ฮ่าวกับกระบี่และมีดของหลี่ฮ่าวเป็นตัวต่อรองแลกพลังลี้ลับจากเงาโลหิต บางทีอาจจะขอแลกได้สำเร็จก็ได้

วินาทีนี้ระบบความคิดของหลี่ฮ่าวเริ่มกระจ่างขึ้นมาอย่างช้าๆ

‘อาจารย์ อาจจะเปิดเผยตัวตนไม่ได้ง่ายๆ หากเขากลายเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติคงมีเรื่องยุ่งยากของตัวเองและเกิดการไล่ล่าอย่างแน่นอน”

‘หลิวหลง…’

‘ถ้าครั้งนี้จัดการปัญหาเงาโลหิตได้ แล้วเส้นทางต่อจากนี้ควรเดินยังไงต่อไปดีล่ะ’

“…”

ความคิดมากมายแวบเข้ามาในหัว

หากครั้งนี้มีโอกาส บางทีเขาอาจช่วยหลิวหลงให้เลื่อนขั้นเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ

ระหว่างที่ขบคิดในใจ หลี่ฮ่าวก็สวมชุดเครื่องแบบของกองตรวจการณ์

เจ้าเสือดำเงยหน้าขึ้น เผยสีหน้าคล้ายฉงนใจเล็กน้อย

กลางคืนดึกดื่นป่านนี้แล้วจะเปลี่ยนเสื้อผ้าทำไมกัน

“ออกไปข้างนอกกับฉันหน่อย!”

“โฮ่ง!”

เจ้าเสือดำสายตาเต็มไปด้วยความสงสัย ไปทำอะไรกันนะ

“ไปกู่ย่วนเมืองหยินสักหน่อย แกทำหน้าที่เดิม ช่วยดูต้นทางให้ฉัน”

“โฮ่งๆ…”

เจ้าเสือดำครางหงุงหงิงทำท่าเหมือนปฏิเสธกลายๆ

หลี่ฮ่าวยิ้มออกมา “กลัวเจ้านั่นเหรอ กลัวทำไมเล่า! อย่ากลัว! ออกมาน่ะดีที่สุดแล้ว ฉันอยากให้มันปรากฏตัวอีกครั้ง พอเจ้าพวกนี้ปรากฏตัวบ่อยขึ้นเท่าไร ฉันก็จะกลัวพวกมันน้อยลงเรื่อยๆ และจะยิ่งเข้าใจมันมากขึ้น!”

ณ ตอนนี้เขาถึงขั้นอยากให้เงาโลหิตปรากฏตัวอีกครั้ง

ทุกครั้งที่เจอกันจะช่วยลดความลึกลับในตัวของมันให้น้อยลงเรื่อยๆ

จากนี้ไปเจ้าพวกนี้ก็จะไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถรับมือได้อีกต่อไปแล้ว!

แม้ในเวลานี้หลี่ฮ่าวทำได้แค่ฝากความหวังไว้ที่อาจารย์ว่าจะสามารถจัดการแก้ปัญหาได้ แต่หลี่ฮ่าวคิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่จะหวังแต่ให้ผู้อื่นคอยช่วยแก้ปัญหาให้ตัวเองเสมอ

ทางเงาโลหิต ก็ใช่ว่าจะจัดการได้ในครั้งเดียว

นี่เป็นสัญชาตญาณของเขา!

“โฮ่งๆ!”

เจ้าเสือดำยอมรับชะตากรรม ทำท่าไม่ยินยอมเล็กน้อย แต่คิดว่ายังต้องพึ่งพาหลี่ฮ่าวอยู่จึงยอมจำนนแต่โดยดี

……

ผ่านไปครู่หนึ่ง

พวกเขาก็ออกเดินทางท่ามกลางความมืด

ไปกู่ย่วน!

……

ตึกตรงข้าม

อู่เชาที่ยังจับตาดูอยู่พลันก็สีหน้าเปลี่ยนไป “พี่ใหญ่!”

ภายในห้องคนอื่นๆ ต่างมองมาที่เขา

“หลี่ฮ่าวออกมาแล้ว!”

หลิวหลงรู้สึกเกินคาดอยู่บ้าง กลางคืนดึกดื่นขนาดนี้แล้วหลี่ฮ่าวจะออกไปไหนกัน

เขาไม่รู้หรือว่าตอนนี้ตัวเองค่อนข้างเสี่ยงอันตราย

ทำอะไรเนี่ย!

“ตามไป!”

หลิวหลงรีบตวาดเสียงทุ้มต่ำทีหนึ่ง สมาชิกทีมล่าปีศาจอื่นๆ ก็ตามไปอย่างรวดเร็ว

แม้ตอนนี้ไม่ใช่คืนวันฝนตก แต่ในเวลากลางคืนดึกดื่นสำหรับหลี่ฮ่าวแล้ว การออกจากบ้านเพียงลำพังก็ถือเป็นเรื่องที่อันตรายมาก ความจริงผู้มีพลังเหนือธรรมชาติต่างชื่นชอบที่จะออกมาทำกิจกรรมช่วงกลางคืนกันทั้งนั้น

กลางวันผู้มีพลังเหนือธรรมชาติปรากฏให้เห็นน้อยมาก เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะใกล้ชิดสัมผัสกับคนธรรมดามากเกินไป

ในเมื่อพลังเหนือธรรมชาติกับชีวิตธรรมดาได้ขีดเส้นแบ่งกันไว้แล้ว

บวกกับผู้พิทักษ์รัตติกาลคอยอยู่เบื้องหลัง ความปั่นป่วนบนโลกคนธรรมดาอาจนำมาสู่การแก้แค้นของผู้พิทักษ์รัตติกาลก็ย่อมได้

……

ในเวลาเดียวกัน

ในมุมหนึ่งของหมู่บ้านฉี่หมิง

อยู่ดีๆ ใต้เงาต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งก็ปรากฏหน้ากากผีโผล่มา

เป็นมนุษย์หน้ากากผี!

ข้างมนุษย์หน้ากากมีเงาโลหิตปรากฏตัวอยู่

ดวงตาสีฟ้าภายใต้หน้ากากผีทอดมองออกไปไกลด้วยความฉงนเล็กน้อย

หลี่ฮ่าว ออกไปข้างนอกช่วงกลางคืน

‘ก่อนที่ฤดูฝนจะมาถึง เขาจะออกไปจากเมืองหยินไม่ได้!’

มีประโยคนี้ลอยขึ้นมาในหัวของมนุษย์หน้ากากผี นี่เป็นคำสั่งและเงื่อนไขของเบื้องบน

ภารกิจของหน้ากากผีไม่ใช่ฆ่าคน ไม่ใช่จัดการหลี่ฮ่าว หน้ากากผีแค่ได้รับคำสั่งหนึ่งมานั่นก็คือห้ามหลี่ฮ่าวออกจากเมืองหยิน ร่องรอยการเคลื่อนไหวของหลี่ฮ่าวต้องอยู่ภายในเขตเมืองหยินเท่านั้น!

‘กับดักเหรอ ’

ในหัวหน้ากากผีผุดความคิดนี้ขึ้นมา หน้ากากผีรู้ดีว่าทีมล่าปีศาจที่ว่านั่นคอยติดตามหลี่ฮ่าวอยู่ตลอด แต่เขาไม่สนใจหรอก

ทีมล่าปีศาจหรือ

เหนือธรรมชาติกับธรรมชาติ กลายเป็นคนละโลกกันไปแล้ว

ถึงหลิวหลงของทีมล่าปีศาจจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง เขาเป็นถึงปรมาจารย์นักรบทะลวงร้อยผู้หนึ่ง

แต่วิชานักรบเสื่อมลงไปตั้งนานแล้ว

อดีตหยวนซั่วเคยเป็นใหญ่มาก่อน ทว่าปัจจุบันกลับเป็นเพียงลูกจ้างคนหนึ่งที่คอยทำงานขายชีวิตให้แก่ผู้พิทักษ์รัตติกาลเพื่อแลกกับได้รับการคุ้มครองจากผู้พิทักษ์รัตติกาลเท่านั้น

ยุคสมัยของชายนักรบ ผ่านไปตั้งนานแล้ว!

“ตามไปดูหน่อยสิ!”

หน้ากากผีหายวับไปในท่ามกลางความมืด เงาโลหิตไม่ได้หายไปไหนแค่]jv’ลอยอยู่กลางอากาศ ไม่นานก็ไล่ตามหลี่ฮ่าวไปอย่างเปิดเผย

เหมือนหน้ากากผีจะไม่กังวลว่าเงาโลหิตจะถูกใครเห็นเขาเลยสักนิด

ต่อให้เงาโลหิตเผชิญหน้ากับปรมจารย์นักรบทะลวงร้อยท่านหนึ่ง หน้ากากผีก็ไม่ได้กังวลนัก เพราะมนุษย์ธรรมดาพวกนี้ไม่เข้าใจเลยว่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ…ไม่ใช่มนุษย์คนธรรมดาอีกต่อไปแล้ว!

…………

ภายใต้ม่านแห่งความมืด

หลี่ฮ่าวพาสุนัขหนึ่งตัวสับเท้าเดินไปยังทิศทางของกู่ย่วน ระยะทางไม่กี่กิโลเมตรถือว่าไม่ไกลมาก หากเดินก็ใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมงเอง

ตอนนี้บนตัวเขายังพกสมบัติสามอย่างมาด้วย

ตอนที่ควรใจกล้า หลี่ฮ่าวก็ใจกล้าดีไม่หยอก

เขามั่นใจว่าตอนนี้เงาโลหิตไม่มีทางฆ่าตน ดังนั้นเขากลับหวังว่าอีกฝ่ายจะปรากฏตัว ถ้าปรากฏตัวตนก็จะได้ทำความเข้าใจเงาโลหิตมากขึ้น และจะถือโอกาสนี้พิสูจน์สักหน่อยว่าทีมล่าปีศาจสามารถมองเห็นเงาโลหิตได้หรือไม่

เขารู้ว่าต้องมีคนของทีมล่าปีศาจตามตนมาแน่ๆ

ปรมาจารย์นักรบเหล่านี้สามารถมองเห็นไหมนะ

หลี่ฮ่าวไม่ค่อยแน่ใจนัก!

………………………………………………………………………