ตอนที่ 43 บำเพ็ญร่วม (4)
“วิชาคายรับห้าปานภูต เธอจะต้องตั้งใจฝึกฝน! มันแข็งแกร่งพอให้ฝึกฝนไปจนถึงขั้นพันยุทธ์! วิชาคายรับห้าปานภูตนี้มีความสมดุล แต่ก็ยังขาดพลังทำลายล้าง แต่เธอมี ‘ตำราเก้าหลอมแรงปราณ’ อยู่ ถ้าฝึกควบคู่กันไปเธอไม่ขาดแคลนวิชาและพลังแน่นอน แต่ที่ยังขาดคือการฝึกฝนให้ชำนาญเท่านั้น!”
“หลังจากกลับเมืองหยินแล้วต้องหมั่นฝึกฝน ไม่มีอะไรก็หาเรื่องสู้กับหลิวหลงไป…เขาไม่กล้าลงมือกับเธอรุนแรงนักหรอก”
“อาจารย์…”
หลี่ฮ่าวขัดเขา “ผมฝึกกับอาจารย์…”
“เพ้อเจ้อน่า!”
หยวนซั่วขัดเขา “ฉันมีเวลามาดูแลพวกไก่อ่อนอย่างเธอที่ไหนกัน ยิ่งไปกว่านั้นแค่เธออ้าปากฉันก็เดาได้แล้วว่าเธอจะใช้กระบวนท่าไหน เธอฝึกกับฉันจะมีประโยชน์อะไร แรงงานฟรีเธอเลือกใช้เองไม่เป็นหรือไง เธอยังรั้นจะขอให้ฉันฝึกฝนเป็นเพื่อนอีกเหรอ เธอเคยคิดไหมว่าฉันเป็นแค่ตาแก่อายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้วนะ”
ช่างน่าขันนัก!
เขายุ่งจะตาย ไหนเลยจะมีเวลาฝึกวิชาเป็นเพื่อนหลี่ฮ่าว หลิวหลงว่างจะตาย แน่นอนว่าต้องเป็นหน้าที่เขา!
หลี่ฮ่าวพูดไม่ออก!
ทำไมถึงได้รู้สึกว่าหลังจากที่อาจารย์ผู้นี้ของตนบรรลุขั้นพลังครั้งนี้แล้วก็เริ่มมีความอดทนน้อยลงตามไปด้วย ก่อนหน้านี้ที่รับปากว่าจะฝึกฝนเป็นเพื่อนนี่นา
แล้วอาจารย์และศิษย์ก็ไม่พูดอะไรกันอีก
หลี่ฮ่าวใช้วิชาคายรับห้าปานภูตพลางสำรวจรอบๆ ตัว ตอนนี้ตนเองอยู่ทีไหนกันนะ
เพราะมีอาจารย์อยู่ด้วย เขาจึงไม่ได้ถามอะไรมาก
แต่พอดูอีกครั้งตอนนี้…ทำไมถึงเหมือนท่อระบายน้ำเลยล่ะ?
พวกเราซ่อนตัวอยู่ในท่อระบายน้ำที่ไหนกันเนี่ย
……
พวกเขาสองคนบำเพ็ญร่วมกันมาเป็นเวลาชั่วโมงกว่าๆ หลี่ฮ่าวรู้สึกได้ว่าพลังภายในร่างกายของตนเองถูกแบ่งไปมากกว่าครึ่ง สายเลือดเริ่มไหวเวียนไม่แข็งอีกต่อไป อีกทั้งทรงพลังอย่างประหลาด
ความรู้สึกแบบนั้น…เหมือนว่าจะสามารถต่อยหลิวหลงให้ตายได้เลย
แน่นอนว่าหลี่ฮ่าวเองก็รู้ว่านี่คงเป็นแค่จินตนาการเท่านั้น
แต่ในเวลานี้หยวนซั่วก็ผ่อนลมหายใจอย่างพออกพอใจ ใบหน้าของเขาฉายแววสบายใจหน่อยๆ “สบายขึ้นจริงๆ! พลังกลุ่มนี้ไม่เลวเลย แถมยังแฝงพลังขั้นจิตวิญญาณไว้ส่วนหนึ่งด้วย! และเป็นไปอย่างที่คิดว่าพลังนั้นเป็นเหมือนยาบำรุงของปรมาจารย์นักรบจริงๆ อาการบาดเจ็บก็ดีขึ้นมากเช่นกัน ตอนนี้ต่อให้มีไตรสุริยามาอีกคนก็ยังกำจัดได้เหมือนเดิม!”
ก่อนอื่นต้องระเบิดเคล็ดวิชาดาบโลหิตอีกครั้งแล้วค่อยใช้หินมีดจัดการ
กลัวก็แต่พลังในหินมีดจะไม่เพียงพอ เมื่อใช้เคล็ดวิชาดาบโลหิตไปหมดแล้ว ต่อไปภายหน้าตนคงฟื้นฟูพลังไม่ได้อีกแน่นอน
พลังในจี้หยกกระบี่ก็กำลังจะหมด พลังกลุ่มนี้ที่หลี่ฮ่าวดูดซับก็ใกล้จะหมดแล้ว ส่วนที่เหลือมีเพียงพอแค่ให้หลี่ฮ่าวดูดซับย่อยสลายคนเดียว
ดังนั้นต่อให้อยากจะสังหารไตรสุริยาอีกสักคน…โอกาสก็ยังริบหรี่!
แน่นอนว่าตอนนี้ไตรสุริยาก็อาจจะไม่กล้าหาเรื่องตนหรอก
ส่วนตอนนี้หลี่ฮ่าวยันตัวลุกขึ้นแล้วใช้วิชาคายรับห้าปานภูต เขารู้สึกได้ว่ามีพลังเพิ่มขึ้นมาก เพียงแต่รู้สึกไม่ค่อยคุ้นเคยเท่านั้นเอง
หยวนซั่วมองพลางชี้แนะเขา “จำเอาไว้ให้ดี พลังของปรมาจารย์นักรบล้วนแต่ฝึกฝนมาเอง ล้วนแต่เกิดขึ้นจากภายในร่างกาย! ดังนั้นไม่มีอะไรที่ไม่คุ้นเคยหรอก อีกเดี๋ยวก็คุ้นเคยไปเอง พวกเราไม่ใช่พวกผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่ไร้ประโยชน์พวกนั้น พลังเหมือนจะมาจากด้านนอกจึงยากจะควบคุมได้! พวกเราจึงไม่มีปัญหาในการควบคุมพลัง ตอนนี้เธอยังอยู่ในขั้นต้น ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสถึงความยิ่งใหญ่ของพลัง…”
“รอช่วงระยะหลังๆ ผ่านไปสักสองวัน นอนพักหน่อย เธอก็จะคุ้นเคยไปเอง!”
“อย่าฟังคำพูดเหลวไหลของคนอื่น เรื่องที่ว่าขอบเขตพลังไม่เทียบเท่าพลังอะไรนั่น…พอพลังเธอมากเพียงพอขอบเขตพลังก็จะมากขึ้นเอง! แน่นอนว่าคนในขั้นพันยุทธ์ เธอจะต้องเรียนรู้ความรู้ในขั้นพลังจิตวิญญาณและใช้ให้เป็นด้วย ไม่อย่างนั้นด่านนี้ถึงจะเป็นสิ่งที่ยากที่สุด! ขั้นทะลวงร้อยแค่มีพลังมากพอให้บรรลุก็เป็นอันใช้ได้แล้ว!”
หลี่ฮ่าวตั้งใจฟังสิ่งที่อาจารย์พูด เพราะล้วนเป็นหลักการที่ถูกต้อง!
เวลานี้หยวนซั่วก็ลุกขึ้นตามไปด้วย เตะเจ้าเสือดำที่แกล้งตายไปที “ออกไปสำรวจดูหน่อยว่าอันตรายไหม แล้วก็ไปดูเมืองหยินว่ามีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่แข็งแกร่งหรือเปล่า ถ้าไม่มีล่ะก็ให้รีบกลับมารายงาน ไม่อย่างนั้นจะไม่ให้แกกินเนื้อ!”
“……”
เจ้าเสือดำหางตก มันกลัวตาแก่นี่จนตกใจวิ่งหนีจุกตูดไปเลย
ตอนติดตามหลี่ฮ่าวมันยังพอจะสบายหน่อย แต่ถ้าติดตามคนผู้นี้…ตอนที่หลี่ฮ่าวนอนหลับ ตาแก่นั่นจ้องเขาน้ำลายไหลเหมือนอยากจะกินเนื้อมันก็มิปาน น้องหมาน้อยขวัญเสียจะแย่!
รอจนเจ้าเสือดำไปแล้ว หยวนซั่วถึงได้เข้าใจ “เจ้าหมาตัวนี้อาจจะไม่ธรรมดา! มันถึงขั้นมองเห็นเงาโลหิตที่ถือว่าอยู่ในขั้นจิตวิญญาณได้ ขนาดฉันเองยังมองไม่เห็นเลยด้วยซ้ำ นั่นแปลว่าเจ้าหมาตัวนี้มีความพิเศษอยู่! มันไม่มีทางตามนายโดยไร้สาเหตุแน่ อาจเพราะรู้ว่านายมีสายเลือดเกี่ยวข้องกับทั้งแปดตระกูล! หรือว่าเจ้าหมาตัวนี้มีสายสัมพันธ์กับบรรพบุรุษของทั้งแปดตระกูลงั้นเหรอ”
เรื่องนี้เป็นไปได้มากทีเดียว เขาเองก็แค่ลองวิเคราะห์ดูเท่านั้น จะใช่หรือไม่ก็ไม่เป็นไร
“จำเอาไว้เจ้าเด็กน้อย หมาน่ะเลี้ยงได้ แต่ว่าจะปล่อยให้กลายเป็นหมาเลี้ยงนายไม่ได้! เลี้ยงสุนัขภูตอาจจะมีผลดี แต่ว่าทันทีที่ภูตตัวนี้อยู่เหนือเธอ…เช่นนั้นแล้วเธอจะกลายเป็นคนโง่เขลา!”
หยวนซั่วชี้ให้หลี่ฮ่าวเห็นช่องต่างๆ ด้วยประสบการณ์ในชีวิตของเขา
หลี่ฮ่าวเองก็กำลังฟัง เขานับถืออาจารย์ผู้นี้เป็นอย่างมาก กระทั่งแทบจะพิจารณาในทุกคำพูดของอีกฝ่าย
“กลับกันเถอะ!”
หยวนซั่วเองก็เดินตรงออกไปด้านนอก รอจนเขาเดินพ้นอุโมงค์ที่มืดมิดแล้วหลี่ฮ่าวถึงเดินตามออกไป จากนั้นเขาถึงพบว่าเหมือนพวกเขาจะไม่ได้อยู่ในเมืองหยิน!
“ที่นี่คือเมืองอู้ พวกเราหลบอยู่ที่นี่ ถ้ากลับไปตอนนี้ ตอนกลางคืนคงทันกลับไปกินข้าวเย็นอยู่!”
หยวนซั่วเดินนำหลี่ฮ่าวไปบนถนนของเมืองอู้ด้วยท่าทีเป็นธรรมชาติไม่กระโตกกระตากแม้แต่น้อย
“จำเอาไว้ให้ดี หลังจากกลับไปแล้วเธอห้ามพูดอะไรมาก เรื่องกระบี่เล่มนั้นเธอต้องให้ผู้พิทักษ์รัตติกาล…แต่ห้ามให้ง่ายๆ จนเกินไป…เธอบอกว่าให้ฉันเป็นคนดูแล คิดว่าพวกเขาคงไม่กล้าชิงเอาไปง่ายๆ หรอก!”
หลี่ฮ่าวพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย
แล้วชายสูงวัยกว่าก็กล่าวอีกว่า “ถ้าเป็นไปได้ให้รีบออกจากเมืองหยินไปให้เร็วที่สุด!”
หลี่ฮ่าวพยักหน้ารับอีกครั้ง ครุ่นคิดแล้วกล่าว “ก่อนหน้านี้ผมได้ยินเรื่องซุบซิบในเมืองหยินเหมือนกัน น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องสายเลือดของแปดตระกูล เจ็ดตระกูลในนั้นพวกเขาอยู่ในสถานที่ที่ค่อนข้างห่างไกล มีแค่ครอบครัวผมที่อยู่ในเมืองหยิน!”
“อืม ไม่ใช่การปลดผนึก แต่เป็นเรื่องอื่น อาจจะเป็นลูกไม้ที่เหล่าบรรพบุรุษของทั้งแปดตระกูลสร้างเอาไว้! เธอออกจากเมืองหยินไป พวกเขาคงไม่กล้าผลีผลามทำร้ายเธอ อาจต้องรอน้ำฝนสีฟ้าปรากฏขึ้นในพื้นที่เมืองหยินถึงจะยอมลงมือ ตอนนั้นถึงจะกระตุ้นสายเลือดของเธอแล้วเปิดเจ้าสิ่งนั้นได้!”
หยวนซั่วฉลาดเกินไปแล้ว แค่พูดเขาก็เดาออกอย่างรวดเร็ว
“ดังนั้นทางที่ดีที่สุดให้เธอรีบออกจากเมืองหยินไป ในมณฑลหยินเยวี่ยยนี้เมืองไป๋เยวี่ยปลอดภัยที่สุด! ต่อให้เป็นทั้งสามองค์กรก็ไม่กล้าทำอะไรผลีผลามในเขตพื้นที่นั้นหรอก”
“สามองค์กร”
ตอนนี้หลี่ฮ่าวที่นั่งฟังเขาพูดยังคงงุนงงอยู่
“ชาดจันทรา อัปสรา ยมราช! เวลาที่จัดตั้งทั้งสามองค์กรนั้นเร็วมาก ถึงขนาดที่ว่าอาจจะมีเวลามากกว่า 20 ปีด้วยซ้ำ หรือเมื่อ 20 ปีก่อนจะมีปรมาจารย์เซียนสวรรค์โปรดลอบปรากฏกายขึ้นแล้วเป็นคนตั้งองค์กรทั้งสาม! อาจจะเร็วกว่าผู้พิทักษ์รัตติกาลด้วยซ้ำไป”
หยวนซั่วกล่าวเสียงเบา “องค์กรพวกนี้อาจรู้นานแล้วว่าพลังเหนือธรรมชาติอาจผงาดขึ้นมาเลยเตรียมผูกมัดพวกปรมาจารย์เซียนสวรรค์โปรดเอาไว้กลุ่มหนึ่งก่อนล่วงหน้า ตอนนั้นหน่วยผู้พิทักษ์รัตติกาลยังไม่ได้ก่อตั้งย่อมไม่สามารถเตรียมการรับมือทันอยู่แล้ว! กว่าหน่วยผู้พิทักษ์รัตติกาลจะก่อตั้งขึ้น เหล่าปรมาจารย์เซียนสวรรค์โปรดก็เข้าร่วมกับองค์กรทั้งสามไปแล้ว! อีกอย่างอย่าดูถูกหน่วยผู้พิทักษ์รัตติกาลล่ะ ถึงแม้ว่าจะเพิ่งก่อตั้งขึ้น แต่พวกเขายังคงสามารถขัดขวางองค์กรผู้มีพลังเหนือธรรมชาติพวกนี้ได้ พวกเขามีความสามารถอย่างยิ่งเพราะอย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นหน่วยงานของทางราชการ!”
หลี่ฮ่าวพยักหน้าอีกครั้ง
ศิษย์และอาจารย์เดินทางออกมาจากเมืองอู้มุ่งหน้าไปยังเมืองหยิน
กลับไปเก็บรางวัลหลังสงครามกันเถอะ!
หยวนซั่วเองก็ไม่รีบร้อนอะไร ต่อให้พวกผู้พิทักษ์รัตติกาลจะมาก็คงไม่เร็วขนาดนั้น การดำรงอยู่ของขั้นไตรสุริยามีประโยชน์อย่างมาก หากจะเอามาใช้งานตอนนี้ก็คงต้องใช้เวลาสักหน่อย
……………………………………………………………………