ตอนที่ 44 ของรางวัลจากสงคราม (1)
ณ เมืองหยิน
วันที่ 19 เดือนกรกฎาคม
ยังคงเป็นวันฝนตก ฝนตกอย่างต่อเนื่องแต่ไม่ได้ฝนหนักเท่าเมื่อคืน สายฝนพรำช่วยเพิ่มความเย็นฉ่ำแก่วันฤดูร้อนได้บ้าง
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเหมือนถูกผู้คนหลงลืมไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น
แน่นอนว่าความจริงชาวเมืองหยินยังลืมเหตุการณ์เมื่อคืนไม่ได้ ลืมไม่ได้ว่ามีดวงตะวันลอยค้ำฟ้าแถบชานเมืองทางเหนือ และลืมไม่ได้ว่าหลังจากนั้นก็มีดวงตะวันร่วงลับเข้าสู่ความมืดเช่นกัน
พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่พวกเขารู้ว่าทางการของเมืองหยินยังคงอยู่ วันนี้กองตรวจการณ์ทำการออกตรวจการณ์เหมือนเดิม เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
ไม่ว่าเวลาใดโดยเฉพาะช่วงเกิดเหตุชุลมุนวุ่นวาย ทางการจะเป็นที่พึ่งพาและสร้างความเชื่อมั่นแก่พวกเขาเสมอ
เวลานี้นอกจากพึ่งพาทางการ พวกเขาก็ไม่มีที่พึ่งพาอื่นแล้ว
โบสถ์ใหญ่กลางเมืองถูกทำลาย
วันนี้ที่นั่นถูกปิดตายกลายเป็นพื้นที่เขตหวงห้าม
ไม่เพียงเท่านั้น ขอแค่เป็นเขตพื้นที่ที่ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติเสียชีวิตก็จะมีเจ้าหน้าที่กองตรวจการณ์ไปปิดตายห้ามไม่ให้ผู้คนเข้าออก
โกดังแถบชานเมืองทางเหนือยิ่งเป็นพื้นที่เฝ้าระวังอย่างหนัก!
สุดยอดผู้แข็งแกร่งเหนือสุริยะพรายคนหนึ่งถูกหยวนซั่วฆ่าทิ้งที่นั่น เรียกว่าถูกฟาดฟันซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนตายไปไม่รู้กี่รอบ
……
ละแวกโกดัง
โกดังพังทลายไม่เหลือชิ้นดีจากการต่อสู้เมื่อคืน กระทั่งเผยให้เห็นระเบิดปริมาณมากที่ถูกฝังอยู่ใต้ดิน ไม่เพียงเท่านี้ ไกลออกไปยังมีปืนใหญ่อยู่อีกหลายตัวซ่อนอยู่ในที่มืด นี่ก็เป็นฝีมือของหลิวหลงเช่นกัน
แต่น่าเสียดายมากที่ไม่ได้ใช้งาน
แน่นอนว่าการไม่ได้ใช้งานเป็นเรื่องดี ถ้าเมื่อคืนได้ใช้งานมันจริงๆ เกรงว่าคงไม่ใช่สถานการณ์อย่างที่เห็นแล้ว
ณ ตอนนี้ละแวกโกดังมีผู้คนอยู่มากมาย
ต่างรวมตัวกันอยู่ตรงจุดที่ปรมาจารย์เซียนดับสวรรค์สิ้นชีพเมื่อคืน
หวงอวิ๋น หวังหมิง หูฮ่าว หลี่เมิ่ง…
ผู้กล้าของผู้พิทักษ์รัตติกาลอยู่ที่นี่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
ไม่เพียงเท่านี้ มู่เซินร่างอ้วนก็มาด้วย หลิวหลงเองก็ลากสังขารที่มีบาดแผลตามตัวพร้อมสวมเสื้อโค้ทเหมือนรออะไรอยู่กลางสายฝน
ขณะนั้นเองฝนเหมือนจะหยุดตก
ร่างหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศฉับพลัน
เป็นชายผมสั้นคนหนึ่ง ใบหน้าดูอิดโรยคล้ายเดินทางมาแต่ไกลโดยยังไม่ทันได้พักผ่อน
ทันทีที่หวงอวิ๋นสังเกตเห็นผู้ที่เพิ่งมาเยือนก็รีบก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าวด้วยสีหน้าคาดไม่ถึงระคนดีใจ “หัวหน้าเฮ่อมาด้วยตัวเองเลย!”
เขาก็คิดไม่ถึงว่าท่านนี้จะมาถึงไวปานนี้
ต่อให้เดินทางมาจากเมืองไป๋เยวี่ยโดยตรงก็ใช้เวลาไม่นานเท่าไร ดูเหมือนสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในเมืองหยินครั้งนี้คงทำให้กองบัญชาการใหญ่ผู้พิทักษ์รัตติกาลนั่งก้นไม่ติดเก้าอี้เสียแล้ว
ชายผมสั้นกลางอากาศดิ่งตัวลงมา
รูปร่างไม่สูงมากประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบ ดูท่าทางราวๆ อายุสี่สิบปีแต่สีหน้าอิดโรย พอเห็นหวงอวิ๋นก็พยักหน้าให้เล็กน้อยถึงหันไปมองมู่เซินแล้วฉีกยิ้มให้ทีหนึ่ง “ผู้อำนวยการมู่!”
หากว่ากันตามลำดับตำแหน่งมู่เซินอยู่ในระดับที่สูงใช้ได้ เขาเป็นถึงผู้บัญชาการ หัวหน้าที่แท้จริงขององค์กรที่มีการบังคับใช้กฎหมายประจำเมืองหยิน
ความจริงสถานะอยู่สูงกว่าหวงอวิ๋นหนึ่งขั้นด้วยซ้ำ
แน่นอนว่าหวงอวิ๋นเป็นเพียงผู้บังคับการตรวจตราแค่ในนามซึ่งถือว่าอยู่ในระดับเดียวกับหลิวหลง แต่ในระดับของผู้พิทักษ์รัตติกาลนั้นอยู่ในระดับเดียวกับฝ่ายบริหารของกองตรวจการณ์ หวงอวิ๋นจึงสามารถมองว่ามู่เซินเป็นคนที่อยู่ระดับเดียวกับตัวเองได้
มู่เซินพยักหน้าเล็กน้อย “หัวหน้าเฮ่อมาเร็วดี เมืองไป๋เยวี่ยไม่เป็นไรใช่ไหม”
“ไม่เป็นไร!”
หัวหน้าเฮ่อที่ถูกเรียกเผยยิ้มบางเบา “เมืองไป๋เยวี่ยระบบรักษาความปลอดภัยเข้มงวด ไม่กล้ามีใครบุกรุกโดยพลการหรอก…”
เขาก็แค่ตอบไปตามมารยาทประโยคเดียว
ทว่ามู่เซินกลับตอบกลับติดประชดหน่อยๆ “งั้นเหรอ ในเมื่อเมืองไป๋เยวี่ยระบบรักษาความปลอดภัยเข้มงวด ทำไมเมื่อคืนถึงมีสุริยะพรายโผล่มาคนหนึ่งได้ล่ะ เมืองใหญ่คือเมือง แต่เมืองเล็กๆ ไม่สำคัญอะไรเลยงั้นเหรอ”
“…”
หัวหน้าเฮ่อยังไม่ทันตั้งตัวเสียด้วยซ้ำ
แค่ฉันพูดประโยคเดียวก็ลำบากใจมากพอแล้ว ทำไมพอออกจากปากนาย…ก็เหมือนผู้พิทักษ์รัตติกาลดูชั่วช้าไม่น่าให้อภัยขนาดนั้นล่ะ
“ผู้อำนวยการมู่เข้าใจผิดแล้ว…”
มู่เซินทำหน้าไม่ยี่หระ “ชินแล้ว! เมืองเล็กนี่นา ประชากรแค่ล้านคน ตายเกลี้ยงก็ไม่กระทบกระเทือนอะไรหรอก! ส่วนเมืองใหญ่อย่างไป๋เยวี่ยมีประชากรตั้งสามสิบล้าน เป็นเมืองใหญ่อันดับต้นๆ เชียว ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาคงตายเยอะกว่านี้อีก! คุณดูสิ เมืองหยินของเราแม้แต่กองบัญชาการของผู้พิทักษ์รัตติกาลยังไม่มีด้วยซ้ำ…นี่ก็คือความจริงที่แสนโหดร้ายละนะ!”
หลิวหลงที่ยืนก้มหน้าอยู่ข้างๆ ได้ยินเช่นนั้นก็ขยับหูนิดๆ ก่อนเปรยเสียงเบาว่า “เมืองหยินของเราเล็กเกินไป แทบจะไม่มีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติเลยสักคนเดียว ต่อให้มีก็ไปเมืองไป๋เยวี่ยหมดเลยไม่สามารถก่อตั้งหน่วยงานเล็กแยกย่อยได้!”
มู่เซินยิ้ม “นั่นสิ! ผู้อำนวยการคนก่อนดีไม่หยอก ผมได้ยินมาว่าเขาก้าวสู่ขอบเขตพลังเหนือธรรมชาติด้วยความสามารถระดับทะลวงร้อยจนกลายเป็นสุดยอดผู้แข็งแกร่งในลำดับสุริยะพรายไปแล้ว แต่น่าเสียดาย…สุดท้ายก็ไม่กลับมาอีก! ชีวิตข้างนอกมันดี โลกกว้างใหญ่ขนาดนั้นเขาก็ต้องอยากออกไปผจญโลกสักหน่อย…เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้นี่นา”
หัวหน้าเฮ่อพูดอะไรไม่ออก
หวงอวิ๋นที่อยู่ข้างๆ กระแอมเสียงไอทีหนึ่ง “ผู้อำนวยการมู่ สถานการณ์ในตอนนี้มันอันตรายกว่าที่คุณคาดคิดไว้มาก จำนวนผู้พิทักษ์รัตติกาลมีไม่มากพอและปัญหาทางส่วนกลางก็มีมาไม่หยุดหย่อน ดังนั้นจึงคัดเอาคนฝีมือดีไปจำนวนหนึ่ง…มณฑลหยินเยวี่ยมีสามสิบสองเมือง ไม่สามารถดูแลได้อย่างคลอบคลุมจริงๆ”
จบประโยคก็พูดต่อ “ครั้งนี้ ผมละทิ้งการคุ้มกันเมืองหูตงแล้วแอบมาที่นี้โดยเฉพาะ…โชคดีที่ทางนั้นไม่เป็นอะไร ไม่อย่างนั้นผมก็คือนักโทษคนหนึ่งเช่นกัน”
ในเมื่อใช้ลูกไม้สร้างเรื่องน่าเห็นใจ นี่ฉันก็มาแล้วนี่ไง
ส่วนทางเมืองหยินจะไม่พอใจกับทางไป๋เยวี่ย มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
สิ่งที่มู่เซินพูดก็คือความจริง เมืองหยินไม่มีแม้แต่หน่วยงานสาขาย่อย
ผู้พิทักษ์รัตติกาลในมณฑลหยินเยวี่ยไม่ได้มีแค่หน่วยงานแยกย่อยแค่ที่เมืองไป๋เยวี่ยที่เดียว ความจริงยังมีหน่วยงานย่อยประจำเมืองใหญ่อื่นๆ เช่นกัน บางที่มีปรมาจารย์แสงดารากับปรมาจารย์จันทราทมิฬประจำการด้วยส่วนหนึ่ง ส่วนหัวเมืองใหญ่เหล่านั้นมีสุริยะพรายคอยประจำการอยู่ด้วย
มู่เซินแค่นหัวเราะ
หัวหน้าเฮ่อก็หัวเราะ “ทีมล่าปีศาจเมืองหยินแข็งแกร่งกว่าหน่วยงานย่อยประจำเมืองต่างๆ ของผู้พิทักษ์รัตติกาลเสียอีก! แค่หลิวหลงคนเดียวก็เทียบเท่าจันทราทมิฬหลายคนแล้ว ผู้อำนวยการมู่ก็แกร่งไม่เบา…ถึงเมืองหยินจะเล็ก แต่ระบบคุ้มกันไม่ธรรมดาเลยสักนิด แค่คาดไม่ถึงว่าครั้งนี้อีกฝ่ายจะส่งผู้แข็งแกร่งมามากขนาดนี้!”
“คนหนึ่งไตรสุริยา คนหนึ่งสุริยะพราย สิบคนจันทราทมิฬ หนึ่งคนทะลวงร้อย เก้าคนสิบสังหาร…หากพูดตามความจริงหน่อย นอกจากเมืองไป๋เยวี่ยกับเมืองเย่ากวง ทั้งสามสิบสองเมืองของมณฑลหยินเยวี่ยไม่มีเมืองไหนจะต้านทานมันได้เลย!”
คำพูดนี้ถือว่ายกยอพวกมู่เซิน
ซึ่งมู่เซินไม่ได้ต้องการสิ่งนี้ เขาก็แค่คลี่ยิ้มออกมา “พูดแบบนี้แปลว่าหัวหน้าเฮ่อก็ยอมรับในความสามารถของเมืองหยินเราแล้วสินะ”
หัวหน้าเฮ่อดูท่าทางอึดอัดประมาณหนึ่ง
ในเมื่อมู่เซินได้เปรียบย่อมไม่ยอมให้จบเพียงเท่านี้ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ผมเสนอให้ทีมล่าปีศาจเลื่อนขั้นเป็นหน่วยผู้พิทักษ์รัตติกาลสาขาย่อยประจำเมืองหยิน! หลิวหลงรับหน้าที่เป็นผู้บัญชาการ!”
“นี่…”
หัวหน้าเฮ่อยังไม่ทันพูดอะไร มู่เซินก็พูดอีกว่า “ครั้งนี้หลิวหลงสร้างคุณงามความดีไว้มาก จะไม่ตบรางวัลให้คงไม่ได้! ถึงเขาไม่ใช่ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ แต่ผู้พิทักษ์รัตติกาลจะมองแค่ว่ามีพลังเหนือธรรมชาติ แต่ไม่มองความสามารถในการต่อสู้จริงๆ กับผลงานเลยเหรอ ถ้าเป็นอย่างนี้ผู้พิทักษ์รัตติกาลก็มองอะไรตื้นเขินไปแล้ว!”
……………………………………………………………………..