ตอนที่ 51 อาวุธกำเนิดศาสตราเทพ (3)
หนึ่งวันผ่านพ้นไปอย่างวุ่นวาย
พอตกเย็น
สมาชิกผู้พิทักษ์รัตติกาลทั้งเก้าคนขับรถสองคน คันหนึ่งคือพวกหลิวเยี่ยน อีกคันหนึ่งคือรถของหลี่ฮ่าว ป้ายทะเบียน หยิน 7219
พวกหลิวหลงอยู่รถคันนั้นทั้งหมด
ส่วนหลี่ฮ่าวขับรถไปรับพวกหวังหมิงทั้งสามคน
ความจริงหวังหมิงไม่อยากนั่งตำแหน่งข้างคนขับนัก แต่หลี่เมิ่งกับหูฮ่าวจับจองที่นั่งเบาะหลังกันตั้งแต่แรก เขาก็คร้านจะเข้าไปนั่งเบียดทั้งคู่เลยฝืนใจมานั่งข้างหน้าแทน
แต่พอนั่งไปได้ครู่เดียวก็เริ่มหวั่นใจ
“หลี่ฮ่าว คุณขับรถเป็นไหม”
เขาอดถามไม่ได้ ก่อนขึ้นรถเขาคิดไว้แล้วว่าจะไม่ยอมพูดคุยกับหลี่ฮ่าวเป็นการส่วนตัว แต่สุดท้ายเจ้าหมอนี่มันขับรถยังไงของมันกันแน่
หลี่ฮ่าวตอบด้วยเสียงตื่นเต้นเล็กน้อย “เป็นสิ! เมื่อก่อนผมเคยขับนะ แค่ไม่ได้หรูอย่างรถคันนั้น ขับรถง่ายมาก แค่หมุนพวงมาลัยเป็น เหยียบคันเร่งเป็น เหยียบเบรกเป็นก็พอ เหล่าหวังคุณขับไม่เป็นเหรอ”
บัดนี้เขาอยู่ระดับเดียวกับหวังหมิง เขาจึงไม่เรียกผู้กำกับอีกต่อไป หวังหมิงอายุไม่มาก หลี่ฮ่าวก็อายุแค่ยี่สิบซึ่งหวังหมิงเองก็อายุพอๆ กับเขา หรืออาจจะน้อยกว่าสักหน่อย ก่อนหน้านี้อีกฝ่ายยังเรียกเขาว่าพี่ฮ่าวด้วยซ้ำ
เรียกเขาว่าน้องชายก็ออกจะเสียมารยาทไปหน่อย ดังนั้นหลี่ฮ่าวจึงเลือกที่จะใช้คำเรียกว่าเหล่าหวังแทน
หวังหมิงหมดคำจะตอบโต้
เราน่ะหรือขับไม่เป็น
ฉันว่านายต่างหากที่ขับไม่เป็น!
ให้ตาย เหยียบคันเร่ง เหยียบเบรก หมุนพวงมาลัยเป็นก็พอหรือ
ว่าก็ว่าเถอะ…เหมือนจะถูกอยู่หรอก แต่เจ้าหมอนี่ขับรถน่ากลัวเกินไปแล้ว!
หวังหมิงตัดสินใจที่จะใจเย็นลง เบี่ยงเบนความสนใจหน่อยแล้วกัน เขากลัวจะอ้วกเพราะการขับรถของเจ้าหมอนี่เอาได้
“หลี่ฮ่าว ทำไมเมืองหยินถึงเสนอให้คุณขึ้นเป็นรองหัวหน้าล่ะ”
“อ้อ ลูกพี่บอกว่าฉันเหมาะกว่าหน่อย คนอื่นๆ ไม่ค่อยเหมาะเลยเลือกฉัน”
พูดเหลวไหล!
หวังหมิงอยากจะด่าเหลือเกิน หลี่เมิ่งที่นั่งอยู่ข้างหลังก็เริ่มเวียนศีรษะกับทักษะการขับรถเหมือนกัน ขับรถเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาจนตอนนี้ก็ได้แต่พูดแทรกเปลี่ยนประเด็น “หลี่ฮ่าว คุณยังไม่ถึงระดับสิบสังหารสินะ ครั้งนี้ได้รับแบ่งพลังลี้ลับมาส่วนหนึ่ง คุณเจอพลังลี้ลับที่เข้ากับตัวเองได้หรือยัง”
“ยัง!”
หลี่ฮ่าวตอบเสียงเศร้า “อาจารย์บอกแล้วว่าบางทีร่างกายผมอาจจะพิเศษไปหน่อย ยากจะจับคู่กับพลังลี้ลับได้ รออีกหน่อยแล้วกัน เริ่มจากสายปรมาจารย์นักรบก่อน เก่งสายปรมาจารย์นักรบก็ไม่แย่ไปกว่าสายพลังเหนือธรรมชาติ”
“งั้นคุณเข้าสู่ขอบเขตสิบสังหารหรือยัง”
“ใกล้แล้ว!”
หลี่ฮ่าวยิ้มเอ่ย “น่าจะเกือบๆ สิบสังหารแล้ว เหมือนผมจะทำให้กระดูกเส้นเอ็นเสียงลั่นพร้อมกันได้แล้ว แค่…ยังไม่เคยลงสนามจริง อาจารย์บอกว่าปรมาจารย์นักรบกับผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่รบในสนามจริงไม่ได้ก็คือขยะเหมือนกันทั้งนั้น!”
พอสิ้นเสียงทั้งสามก็ดูสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไร
ดีที่หลี่ฮ่าวพูดเหมารวมตัวเองไปด้วย ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงคิดว่าหลี่ฮ่าวกำลังแอบกระแนะกระแหนพวกเขาอยู่
หวังหมิงใกล้จะโมโหตายเพราะเขาอยู่รอมร่อ ข่มความรู้สึกอึดอัดใจไว้พูดต่อ “ช่วงนี้คุณไปหาผู้เฒ่าหยวนบ้างหรือยัง”
“ไปมาแล้ว”
“ท่านบอกอะไรกับคุณบ้างเหรอ”
“เยอะมาก ทำไมเหรอ”
“เปล่า”
หวังหมิงเห็นดังนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก เห็นทีหยวนซั่วคงไม่ได้บอกเรื่องรับศิษย์ไปจริงๆ ในใจก็คิดว่าไม่แย่ แต่พอลองฉุกคิดอีกที หยวนซั่วไม่แม้แต่จะเอ่ยถึง…เป็นไปตามคาด ลูกศิษย์แค่ในนามไม่ได้รับความสำคัญจริงๆ!
ผู้ที่ไม่ได้รับความสนใจมักเป็นฝ่ายว้าวุ่น!
แต่ถ้าหยวนซั่วป่าวประกาศไปทั่ว พวกเขากลับจะเป็นฝ่ายไม่พอใจเสียเอง
แต่หยวนซั่วไม่บอกกระทั่งศิษย์ตัวเอง ให้ตายเถอะ ศิษย์สายตรงกับศิษย์แค่ในนามต่างกันเกินไปแล้ว พวกเขามาเมืองหยินแต่หยวนซั่วไม่คิดจะถามไถ่สักนิด น่าเศร้าใจจริงๆ
หลี่ฮ่าวกลับไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ขับรถพลางเอ่ยถามไปว่า “อ้อใช่แล้ว พี่หลี่ พี่หู อาจารย์บอกว่าคราวก่อนพวกคุณมาเพื่อมาคุ้มกันพาท่านไปแหล่งซากอารยธรรมที่หนึ่ง แล้วมันนั่นอยู่ไหนเหรอ ทำไมตอนนี้ถึงยกเลิกตารางงานไปล่ะ”
หลี่เมิ่งตอบกลับโดยตรงไม่คิดจะปิดบัง “ไม่ได้ยกเลิก แต่เลื่อนต่างหาก! ซากอารยธรรมนั่นมีคนจับตาดูอยู่มาก ก่อนที่ผู้เฒ่าหยวนจะเลื่อนขั้น ทางเราจัดทีมไว้ให้หัวหน้าเฮ่อนำทีมไปด้วยซ้ำ ไตรสุริยาจันทราคนหนึ่งนำทีม องค์กรอื่นๆ ก็พอๆ กัน ทุกคนต่างมีข้อจำกัดเหมือนกัน”
“แต่ตอนนี้ผู้เฒ่าหยวนจำเป็นต้องไป ต่อให้เรารับปากว่าไม่ให้ผู้เฒ่าหยวนไป แต่ความจริงองค์กรอื่นก็หวังว่าผู้เฒ่าหยวนจะไป เพราะเขามีความเข้าใจเกี่ยวกับซากอารยธรรมโบราณนั่นมาก”
“สามปีก่อน ผู้พิทักษ์รัตติกาลเคยออกสำรวจครั้งหนึ่ง ปรากฏว่าครั้งนั้นเกิดความเสียหายมหาศาล มีผู้แข็งแกร่งระดับสุริยะพรายเสียชีวิตไปถึงสามคน รวมถึงผู้แข็งแกร่งระดับจันทราทมิฬอีกหลายคน”
“ครั้งนั้นผู้เฒ่าหยวนเองก็บาดเจ็บไม่เบา…หลายปีมานี้ผู้พิทักษ์รัตติกาลกับองค์กรอื่นๆ ก็เคยสำรวจแต่ต่างเกิดความเสียหายไม่น้อย ดังนั้นในฐานะที่ผู้เฒ่าหยวนเป็นผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ เขาจะต้องไป แต่เขาสามารถฆ่าไตรสุริยาได้ ดังนั้นทุกฝ่ายจึงต้องใช้เวลาในการเตรียมตัวกันหน่อย”
พอพูดแบบนี้หลี่ฮ่าวก็เข้าใจทันที
“องค์กรที่พูดถึงมาตลอดคือชาดจันทรา อัปสรา ยมราชเหรอ”
“ไม่ใช่แค่นี้!”
หลี่เมิ่งอธิบายอีกครั้ง “สามองค์กรใหญ่ เป็นแค่สามองค์กรที่แข็งแกร่งที่สุดในขอบเขตพลังเหนือธรรมชาติ! องค์กรพลังเหนือธรรมชาติเล็กๆ น้อยๆ ก็ผุดออกมาเยอะเหมือนดอกเห็ดเพิ่มขึ้นทุกปี แต่ก็มีที่ถูกทำลายทิ้งบ้าง หรือมีที่แข็งแกร่งขึ้นมาบ้าง!”
“ผู้พิทักษ์รัตติกาลกับสามองค์กรใหญ่ถือว่าอยู่ชั้นแนวหน้าอันดับแรกในขอบเขตพลังเหนือธรรมชาติทั้งหมด ส่วนอันดับล่างๆ ก็ยังมีที่อ่อนแอกว่าอีก”
“ซับซ้อนขนาดนี้เชียว”
หลี่ฮ่าวเพิ่งพูดจบก็เหยียบเบรกกะทันหันจนทำเอาทุกคนเกือบจะกระเด็นออกนอกรถ โชคดีที่เป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติกันหมดเลยยังพอทรงตัวได้ แต่ทุกคนก็มีเผยท่าทีระอาใจ เพราะเจ้าหมอนี่แทบจะขับรถลงแม่น้ำอยู่แล้ว!
หลี่ฮ่าวกลับไม่ใส่ใจเท่าไร เขาเริ่มเกิดความสนใจขึ้นมา ขับรถพลางถามต่อไปว่า “พี่หลี่ แล้วผู้พิทักษ์รัตติกาลไม่คิดจะสนใจหน่อยเหรอ ไม่ก็กำจัดทิ้งสร้างความน่าเกรง ไม่ก็เข้าปกครองให้เป็นคนของตัวเอง ทำไมถึงมีองค์กรผุดขึ้นเยอะขนาดนี้ล่ะ”
หลี่เมิ่งยังไม่ทันตอบ หวังหมิงกลับเป็นฝ่ายหงุดหงิดแทนเลยตอบกลับไปตรงๆ ว่า “ง่ายขนาดนั้นซะเมื่อไร! ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่เพิ่งได้รับพลังภายหลังจัดการง่ายอยู่หรอก แต่เซียนปรมาจารย์สวรรค์โปรดบางส่วนที่เป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติตั้งแต่แรก แถมพัฒนาเร็วจนน่าตกใจ เร็วยิ่งกว่าผู้พิทักษ์รัตติกาลอย่างเราด้วยซ้ำ…คุณยังไม่ทันเจอตัวเขา คนเขาก็กลายเป็นสุริยะพรายหรืออาจจะเป็นไตรสุริยาไปแล้ว! พวกเขาไม่ได้ทำผิดกฎหมายสักหน่อย เพียงเพราะพวกเขาเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ เราถึงขั้นต้องยอมลงทุนลงแรงเพื่อไปฆ่าพวกเขาเลยเหรอ”
พูดจบก็พูดต่ออีกว่า “ส่วนเรื่องเข้าปกครอง…ความจริงก็มี! แต่มีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติส่วนหนึ่งไม่ยอมรับ แล้วจะทำยังไงได้! โลกใหญ่ขนาดนี้ คุณจับเขา เขาหนี พอฝืนใจให้เขาเข้าร่วมด้วย หากทำเรื่องไร้คุณธรรมสร้างความผิดใจระหว่างกัน กลับจะยุ่งยากยิ่งกว่าเดิม”
พอพูดถึงตอนท้ายก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “ประเด็นคือผู้พิทักษ์รัตติกาลยังขาดแรงดึงดูดต่อผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ! สามองค์กรใหญ่มีแรงดึงดูดพวกเขามากกว่าผู้พิทักษ์รัตติกาล!”
“ทำไมล่ะ”
หลี่ฮ่าวแปลกใจ มีทางการคอยหนุนอยู่เบื้องหลัง ไม่สุขสบายไปกว่าสามองค์กรใหญ่หรือ
นี่เป็นอีกจุดหนึ่งที่เขาไม่เข้าใจมากที่สุด
ทางการมีข้อได้เปรียบทุกทาง ยามที่พลังเหนือธรรมชาติผงาดขึ้นใหม่ๆ แถมยังมีอาวุธปืนไฟคอยข่มเหง แต่กลับยังไม่มีผู้แข็งแกร่งมากไปกว่าสามองค์กรใหญ่ นี่ต้องไร้ประโยชน์ขนาดไหนกันนะ
“เฮ้อ!”
หวังหมิงถอนหายใจ หลี่เมิ่งกลับปากไวพูดไปตรงๆ อย่างไม่พอใจประมาณหนึ่ง “นั่นก็เพราะพลังลี้ลับไง! ผู้ก่อตั้งสามองค์กรใหญ่เป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาตินานกว่า พวกเขาแอบสั่งสมอยู่ลับๆ เหมือนจะยึดครองซากอารยธรรมโบราณใหญ่ๆ ไปไม่น้อยหรือเป็นของอย่างอื่น…เอาเป็นว่าพวกเขาสามารถผลิตพลังลี้ลับได้ในปริมาณมาก”
“ส่วนผู้พิทักษ์รัตติกาลเริ่มต้นค่อนข้างช้า พลาดโอกาสที่ดีที่สุดไปเลยไม่สามารถครอบครองซากอารยธรรมโบราณที่สามารถผลิตพลังลี้ลับได้ อีกทั้งไม่มีสมบัติสำคัญอะไรที่สามารถซึมซับพลังลี้ลับได้ ต่อให้มีก็น้อยมาก ปริมาณก็ไม่เยอะ”
เธอเอ่ยอย่างเศร้าใจหน่อยๆ ว่า “คุณว่าพลังลี้ลับไม่เยอะเท่าพวกเขา แล้วจะมีอะไรไปดึงดูดผู้มีพลังเหนือธรรมชาติเหรอ ตอนนี้พื้นที่ทางภาคกลางกำลังชุลมุน ความจริงก็เพราะเรื่องนี้ ผู้พิทักษ์รัตติกาลก็คือตัวการหลักของความวุ่นวาย!”
หวังหมิงกระแอมเสียงไอเบาๆ ทีหนึ่ง!
หลี่เมิ่งพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ใช่แล้ว! กองบัญชาการใหญ่ของผู้พิทักษ์รัตติกาล…ไม่ได้หมายถึงที่มณฑลหยินเยวี่ย แต่เป็นกองบัญชาการกลาง มีผู้แข็งแกร่งบางส่วนไม่พอใจที่ถูกจำกัดควบคุมโดยสามองค์กรใหญ่เลยแอบกำจัดองค์กรเล็กๆ อย่างเงียบๆ แย่งชิงวัตถุเหนือธรรมชาติกับซากอารยธรรมโบราณที่ผลิตพลังลี้ลับบางส่วนมาได้ ปรากฏว่าถูกคนจับได้เพราะปกปิดไม่มิดชิดมากพอ ตอนนี้สามองค์กรใหญ่หาเรื่องก่อสงครามในพื้นที่ภาคกลางไม่หยุดหย่อน บีบเค้นให้ผู้พิทักษ์รัตติกาลมอบตัวฆาตกรมาให้ บวกกับคนที่แอบแฝงอยู่ในนั้นด้วย จนทางนั้นใกล้จะเละเป็นโจ๊กอยู่แล้ว!”
…………………………………………………………………………..