ตอนที่ 54 อาจารย์ลูกศิษย์ร่วมวางแผนกันอีกครั้ง (4)
หลี่ฮ่าวก็หัวเราะด้วย “ผมจะทำตัวให้อาจารย์ขายหน้าได้เหรอ เฉียวเฟยหลงคิดว่าเขาเป็นใคร อาจารย์ผมยังเคยฆ่าไตรสุริยามาแล้ว ต่อให้เขาเป็นไตรสุริยาอาจารย์ก็ตัดหัวมันได้เหมือนกัน!”
ไม่ถึงขนาดกลัวจนฉี่ราด แต่ตอนนั้นตกใจไม่น้อยจริงอยู่
“พอได้แล้ว ไม่ต้องพูดเยินยอแบบนี้ ไร้สาระ”
หยวนซั่วว่าแล้วก็ขมวดคิ้วกล่าว “แต่คิดๆ ดูแล้วควรจะจัดการปัญหานี้ยังไงดี ต้องให้เป็นเรื่องเล็กมากที่สุดและต้องกำจัดทิ้งทั้งหมด แบบนี้ไม่ง่ายเลยจริงๆ”
หลี่ฮ่าวกระซิบเสียงเบา “ผู้พิทักษ์รัตติกาลล่ะ”
“อย่าพูดเหลวไหลน่า!”
หยวนซั่วส่ายหน้า “นอกจากไตรสุริยาของผู้พิทักษ์รัตติกาลจะมา! เฮ่อเหลียนชวนหรือโหวเซียวเฉินคนใดคนหนึ่ง หรืออาจจะต้องมากันสองคนถึงจะจัดการได้อย่างเงียบเชียบ แต่โหวเซียวเฉินไม่มีทางออกมาจากเมืองไป๋เยวี่ยแน่ๆ ส่วนเฮ่อเหลียนชวน…”
พูดถึงตรงนี้หยวนซั่วก็ขมวดคิ้วกล่าว “อย่าเชื่อใจพวกเขานัก ใครจะรู้ว่าพวกเขามีแผนอื่นหรือเปล่า ฉันไม่ค่อยคุ้นเคยกับเฮ่อเหลียนชวนเท่าไร ถึงจะรู้จักกันแต่พอพัวพันถึงเรื่องสำคัญก็เกิดข้อขัดแย้งได้ง่าย เบื้องหลังเขายังมีผู้พิทักษ์รัตติกาลคอยหนุนหลังอยู่ด้วย!”
คนประเภทที่มีคนคอยหนุนหลังแบบนี้ความจริงร่วมงานกันยากมาก
ถ้าเฮ่อเหลียนชวนคิดจะแตกคอจริงๆ สองอาจารย์ลูกศิษย์หยวนซั่วก็มีเรื่องกับผู้พิทักษ์รัตติกาลไม่ได้
“เฮ้อ!”
“เฮ้อ!”
อาจารย์ลูกศิษย์สองคนถอนหายใจพร้อมกัน
หยวนซั่วมองไปทางหลี่ฮ่าว หลี่ฮ่าวก็มองไปทางหยวนซั่ว อาจารย์ลูกศิษย์สองคนต่างทำหน้าเคร่งเครียดคิ้วขมวด
เพราะมันไม่ง่ายเลย!
“อาจารย์ อาจารย์อยู่สายศิลปะการต่อสู้มานนาน ไม่มีเพื่อนสนิทบ้างเหรอ”
หลี่ฮ่าวทำหน้าเหมือนผิดหวังพลางจดจ้องจนหยวนซั่วสั่นไปทั้งหน้า
“อาจารย์ ปรมาจารย์นักรบทะลวงร้อยในยุคของอาจารย์ ถ้าเลื่อนขั้นเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติตั้งแต่ทีแรกงั้นอย่างน้อยก็ต้องเป็นสุริยะพราย หลายปีผ่านไปอาจจะเป็นถึงไตรสุริยา เพื่อนเก่าๆ ของอาจารย์ตายหมดแล้วเหรอ”
“เปล่า อิ้งหงเยวี่ยก็ยังมีชีวิตอยู่ไม่ใช่หรือไง”
หยวนซั่วพูดประโยคหนึ่ง ทำเอาหลี่ฮ่าวเงียบเสียงไปทันที ถือว่าผมไม่ได้พูดแล้วกัน
อิ้งหงเยวี่ย!
บางทีอาจเกินกว่าไตรสุริยา…มีโอกาสอยู่เหนือกว่าขั้นนั้นแล้ว นั่นเป็นหนึ่งในผู้นำสามองค์กรยักษ์ใหญ่เชียว อาจารย์ช่างสรรหาเพื่อนเก่งเสียจริง
“เพื่อนเก่าๆ ยังมีอยู่ไม่กี่คน…”
หยวนซั่วหัวเราะทีหนึ่ง ไม่นานก็ส่ายหน้ากล่าว “แต่ก็เพราะเป็นเพื่อนเก่า ฉันไม่อยากลองเชิงหรือวัดมันด้วยผลประโยชน์ ลำพังแค่จัดสรรปันส่วนไม่เท่าเทียมกันก็ทำเอาพี่น้องแตกหักกันจนเห็นได้เป็นเรื่องปกติ ยิ่งกว่านั้นที่เป็นเพื่อนกัน พูดไม่น่าฟังหน่อยเพื่อนเก่าร่วมทุกข์กันพอได้ แต่ถ้าร่วมสุขพบเห็นได้ยากเกินไป!”
เขามีเพื่อน อีกทั้งปัจจุบันยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่ความสามารถไม่ธรรมดาด้วย
แต่เขาไม่อยากใช้สิ่งนี้วัดหรือลองเชิงมิตรภาพระหว่างกัน
ถ้านั่นเป็นเพียงแหล่งอารยธรรมโบราณทั่วไปไม่ใช่ปัญหา
แต่ครั้งนี้เกี่ยวพันถึงแปดตระกูลใหญ่ เกี่ยวพันถึงหลี่ฮ่าว หลี่ฮ่าวเป็นตัวการสำคัญซึ่งประเด็นอยู่ที่ว่าบางทีอาจจะต้องฆ่าหลี่ฮ่าวถึงจะเปิดผนึกได้…ฉะนั่นก็ยิ่งไปหาคนเหล่านั้นไม่ได้
เมื่อไรที่ซากอารยธรรมโบราณนั่นถูกเปิดผนึกแล้วจำเป็นต้องใช้เลือดของหลี่ฮ่าวล่ะ
หากแค่เลือดอย่างเดียวยังพอว่า แต่ถ้าให้ฆ่าหลี่ฮ่าวตาย เขายังพอหักห้ามใจได้ แต่เพื่อนเก่าของเขาล่ะ
เพราะในสายตาของเพื่อนกลุ่มนี้ หลี่ฮ่าวตายคนเดียวแล้วอย่างไร!
เรื่องพวกนี้ไม่จำเป็นต้องบอกหลี่ฮ่าวหรอก
เพื่อนเก่าพวกนั้นใช่ว่าจะทำอย่างที่พูดเสียทีเดียว แต่หยวนซั่วจำเป็นต้องป้องกันไว้ก่อน
สองอาจารย์ลูกศิษย์ถอนหายใจอีกครั้ง
ผ่านไปพักใหญ่หยวนซั่วพลันก็พูดขึ้นว่า “ถ้าอับจนหนทางจริงๆ ก็หาเฮ่อเหลียนชวน”
หลี่ฮ่าวชะงัก ไหนว่าไม่หาไง
“วิธีสุดท้ายที่คิดได้ ยังไงผู้พิทักษ์รัตติกาลก็เป็นองค์กรของทางการ ต่อให้หวั่นไหวแค่ไหนอย่างน้อยก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอน แต่ไม่ใช่ลงมือทันที…อย่างน้อยพวกเขาก็จะเจรจาปรึกษากับเธอบ้าง ดูว่าขอแลกด้วยบางอย่างได้หรือเปล่า…ค่อนข้างพิธีรีตอพอควร!”
ถึงปากเขาจะบอกว่าพิธีรีตองแต่วินาทีถัดมากลับพูดเหมือนเย้ยตัวเองว่า “แต่ก็เพราะความพิธีรีตองแบบนี้ ถ้าเธอเจอโจทย์ยากจริงๆ คนแรกที่เราพึ่งได้ก็คือผู้พิทักษ์รัตติกาล เพราะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดท่ามกลางความเลวร้าย อย่างน้อยผู้พิทักษ์รัตติกาลก็น่าเชื่อถือกว่าคนอื่นๆ นิดหน่อย”
นี่ต่างหากประเด็นสำคัญ
ไม่มีทางเลือก!
หยวนซั่วพูดเสียงนิ่ง “สู้กับทำให้เรื่องมันใหญ่จนดึงดูดองค์กรใหญ่อย่างยมราชมา สู้แลกด้วยบางอย่างขอให้ผู้พิทักษ์รัตติกาลมาช่วยดีกว่า! ต่อให้สุดท้ายแหล่งอารยธรรมโบราณจะถูกพวกมันแย่งชิงไป ผู้พิทักษ์รัตติกาลก็ไม่มีทางฆ่าเธอเพื่อเปิดผนึกซากอารยธรรมโบราณโดยตรง อย่างน้อยก็จะคิดหาวิธีอื่น…”
หลี่ฮ่าวเกาศีรษะอีกที “ต้องฆ่าผมให้ได้เหรอ”
“พูดยาก”
หยวนซั่วเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ “ถ้าไม่ฆ่าเธอจะดีที่สุด ต่อให้ผู้พิทักษ์รัตติกาลได้แหล่งอารยธรรมไปก็คงไม่ทำอะไรเธอ พ่อหนุ่ม เธอลองคิดเอาเองแล้วกัน ว่าจะขอความช่วยเหลือจากผู้พิทักษ์รัตติกาลหรือเราจะลองเสี่ยงดูสักตั้งดี!”
แววตาของเขาดูอันตรายขึ้นมา “ลองดูเองก่อนได้ ฉันจะไปจู่โจมเฉียวเฟยหลงก่อน ถ้าสามารถฆ่าเขาได้อย่างราบรื่น ถ้าฉันยังมีแรงสู้ต่อค่อยไปฆ่าสุริยะพรายเหล่านั้นที่ภูเขาเหมืองแร่ รวมถึงคนอื่นๆ…”
มีความเสี่ยงสูงเหลือเกิน!
หลี่ฮ่าวส่ายศีรษะทันทีโดยไม่ต้องคิด “สู้ให้ผู้พิทักษ์รัตติกาลมาช่วยดีกว่า…อ้อ อาจารย์ครับ ผม…ผมให้พลังกระบี่กับหัวหน้าหลิวส่วนหนึ่งได้ไหม บางทีเขาอาจจะก้าวสู่ขอบเขตพันยุทธ์ได้”
ถ้าหลิวหลงก้าวสู่พันยุทธ์ได้เหมือนกันล่ะ
พันยุทธ์ไม่ด้อยไปกว่าสุริยะพรายเลย อาจจะแข็งแกร่งกว่าด้วยซ้ำ
ปรมาจารย์นักรบที่อยู่ต่ำกว่าระดับพันยุทธ์ความจริงยากจะเอาชนะพลังเหนือธรรมชาติได้ แต่หากเป็นพันยุทธ์เมื่อไรและมีพลังจิตวิญญาณ สุริยะพรายก็มิอาจทัดเทียมปรมาจารย์นักรบได้
“เขายังควบคุมอานุภาพพลังไม่ได้!”
หยวนซั่วขมวดคิ้วกล่าว “ถ้าเขาควบคุมได้ งั้นเธอก็แบ่งพลังกระบี่ให้เขา ก่อนที่จะผลาญมันจนหมดก็หวังว่าเขาจะได้เลื่อนขั้นสักที ประเด็นคือเจ้าหมอนี่ยังควบคุมอานุภาพพลังได้ไม่ดีพอ”
หลิวหลง เทียบกันแล้วน่าพึ่งพามากกว่าเฮ่อเหลียนชวนสักหน่อย
แต่เสียดายที่อ่อนแอไปสักนิด
หลี่ฮ่าวก็เริ่มทำหน้าเครียด “เรื่องอานุภาพพลัง…ไม่รู้ว่าหลังจากคราวก่อนที่ผมบอกหัวหน้าไป เขาจะหยั่งรู้อะไรบ้างหรือเปล่า ถ้าสามารถหยั่งถึงทำความเข้าใจได้ บวกกับพลังกระบี่ช่วยให้เขาเลื่อนเป็นพันยุทธ์ได้ ทุกอย่างก็ง่ายขึ้นเยอะเลย!”
พูดถึงนี่หลี่ฮ่าวก็พ่นลมหายใจออกมา “อาจารย์ ผมไปโยนหินถามทางจากหัวหน้าก่อน ถ้าหัวหน้าเลื่อนขึ้นเป็นพันยุทธ์ได้…ก็ใช่ว่าจะสามารถรับประกันความปลอดภัยได้! ไม่ไหวจริงๆ ก็เรียกหัวหน้าเฮ่อนั่นมาด้วย…เอาเป็นว่าถ้าสามารถกำจัดตระกูลเฉียวได้ ต่อให้เปิดเผยอะไรนิดหน่อยก็ไม่เป็นไร อย่างมากก็แค่ไม่เอาแหล่งอารยธรรมนั่น!”
เขาค่อนข้างใจกว้างทีเดียว
เอาเงินแต่ไม่เอาชีวิต นั่นไม่ใช่สไตล์การทำงานของเขา
เป็นไปได้อย่างมากว่าตอนนี้ตระกูลเฉียวกำลังเพ่งเล็งมาที่เขาแล้ว
…………………………………………………………………..